ข้อคิดสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน

ข้อคิดสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน [บทความแปล]

บทความชื่อ Note on Same-sex Dating : Free from the rules. (ข้อคิดสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน)

แปลจากหนังสือชื่อ if the Buddha dated. (เมื่อพระพุทธเจ้ามีรัก)

เขียนโดย Charlotte Kasl, Ph.D.

แปลโดย คุณวรธรรม

…………………………………………………………………………………………

ฉัน คุณ เขา เธอ และเรา

หากอยู่ในสวนแห่งความรักที่มีอะไรปิดบัง ซ่อนเร้น แอบแฝง ไม่ซื่อตรง

นั่นยังไม่ใช่เครื่องแสดงลักษณะพิเศษแห่งความรักที่แท้จริง.

………………………………………………………………………………………….

ในพุทธศาสนา ความรักและพันธสัญญามีความสำคัญมากกว่าอะไรทั้งหมด

วิถีชีวิตของเราไม่ใช่การกล่าวโทษหรือตัดสินผู้อื่น

แต่เป็นการตระหนักรู้หากการกระทำของเราได้ทำร้ายตัวเราเองและ

เป็นการทำร้ายผู้อื่น นี่เป็นสัจธรรมที่แท้จริงสำหรับคนทุกคน

ไม่ว่าจะเป็นเกย์ เลสเบี้ยน หรือรักต่างเพศ

พวกเราเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการตื่นรู้

โรวัน คอนราด Rowan Conrad.

…………………………………………………………………………………………….



มิติมหัศจรรย์ของความสัมพันธ์กับเพศเดียวกันก็คืออิสรภาพที่ไปพ้นจาก บทบาททางเพศที่เป็นแบบแผนระหว่างชายกับหญิง และเป็นพลังที่แตกต่างจากการเป็นชายหรือหญิง

เพราะกฎเกณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาระหว่างชายกับหญิงในรูปแบบของรักต่างเพศได้ถูกทำลายลงไป เมื่อมีความสัมพันธ์แบบเพศเดียวกันเกิดขึ้น

ไม่มีกฎเกณฑ์หรือข้อจำกัดใด ๆ ในการที่คู่รักทั้งสองต้องรับบทบาทเป็นฝ่ายให้หรือฝ่ายรับแบบตายตัว มันเป็นความสัมพันธ์ที่อิสระจากการเป็นผู้นำผู้ตาม หรือเป็นอิสระจากการที่ฝ่ายหนึ่งต้องเป็นผู้อุปถัมภ์ตลอด เป็นเพียงความสัมพันธ์ของคนสองคน มีอิสระที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์กันอย่างเป็นเอกเทศโดยไม่ต้องมีการมานั่ง คาดเดาว่า คนนี้เขาเป็นคนอย่างไรนะ ? เธอชอบทำอะไรนะ ? อะไรที่จะทำให้เขามีความสุข ?

แต่บางครั้ง ความสัมพันธ์กับเพศเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับทฤษฎีที่กล่าวมา อย่างกรณีของหญิงไบเซ็กช่วลคนหนึ่งเล่าว่า เธอเข้าใจความรู้สึกของผู้ชายมากขึ้นเมื่อเธอมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงด้วย กัน เธอต้องเข้าไปสำรวจและเรียนรู้ทุกอย่างที่คิดว่าผู้ชายต้องเป็นฝ่ายนำ เพราะงานนี้ไม่มี ‘ผู้ชาย’ แสดงบทบาทผู้นำในความสัมพันธ์แบบเลสเบี้ยน เธอจึงต้องแบ่งความรับผิดชอบกรรมวิธีในการสร้างความสัมพันธ์ และรู้สึกถึงความประหม่าเมื่อต้องทำให้อีกฝ่ายเกิดความสนใจขึ้นมาโดยไม่รู้ ว่าจะถูกปฏิเสธเมื่อไหร่

มันทำให้เธอเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้นว่าผู้ชายต้องซุกซ่อนความหวาดกลัวเป็น ชั้น ๆ ภายใต้ลักษณะภายนอกที่ดูแข็งแกร่ง ไม่ง่ายนักที่เราจะต้องแสดงบทบาทผู้นำและต้องรู้สึกเสี่ยงบ่อย ๆ กับการถูกปฏิเสธแบบนั้น

เมื่อข้าพเจ้าอ่านหนังสือมากมายเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์ ไม่มีเล่มไหนพูดถึงความสัมพันธ์ของเกย์และเลสเบี้ยนเลย มันคงเป็นเรื่องตลกหากจะจินตนาการภาพของคู่เกย์ หรือคู่เลสเบี้ยนที่พยายามจะทำตามที่หนังสือบอก

ยกตัวอย่างว่าถ้าชายเกย์สองคนทำตามหนังสือ How to ที่ชอบแนะนำว่า ‘อย่าพูดกับฝ่ายชายก่อน’ คุณคิดว่าชายเกย์สองคนนั้นจะทำอย่างไร ระหว่างการแสดงออกท่าทาง…ทำไม้ทำมือ…เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนอยากจะพูดด้วย แต่ก็ติดอยู่กับคำแนะนำว่า ‘อย่าพูดกับฝ่ายชายก่อน’ หรือจะแสดงออกด้วยการกะพริบตาให้กันและกันแทน และจะเป็นอย่างไรถ้าเลสเบี้ยนสองคนยอมรับทฤษฎีที่บอกว่า ‘ผู้หญิงไม่ควรแสดงความสนใจก่อน’ เธอสองคนคงจะยืนทื่ออยู่อย่างนั้นเพื่อที่จะรอให้อีกฝ่ายแสดงความสนใจออกมา ก่อนแน่ ๆ เพราะติดอยู่กับทฤษฎีข้างต้น

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม การเป็นเกย์ เลสเบี้ยน หรือไบเซ็กช่วลก็ยังมีปัญหาลึก ๆ ซึ่งมักจะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขานั่นก็คือ “โรคเกลียดเกย์” หรือ Homophobia ที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ หรือปัญหาอีกอันหนึ่งก็คือการมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากในประเทศที่ยังไม่มี การยกระดับความเท่าเทียมทางเพศ หรือไม่มีแม้กระทั่งกฎหมายเพื่อปกป้องและรักษาสิทธิของคู่รักเพศเดียวกันที่ กำลังเป็นอยู่ในหลาย ๆ พื้นที่ของโลก

โฮโมโฟเบีย หมายถึง ความกลัวที่ปราศจากเหตุผลต่ออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการมีความ สัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ความกลัวนี้ฝังลึกและกดดันให้เกย์ เลสเบี้ยน จำนวนไม่น้อยมีความคิดลบ ๆ เกี่ยวกับตัวเอง โดยความคิดนี้มาจากสังคมเป็นตัวบอก อย่างเช่นพ่อแม่มักจะพูดให้เราได้ยินซ้ำ ๆ ว่ารักเพศเดียวกันเป็นเรื่องของคนผิดปรกติ และเกย์ เลสเบี้ยน ก็มักจะคิดเช่นนั้น โดยความคิดนี้ได้สร้างผลกระทบกับตัวตนของพวกเขา พวกเขาจะเริ่มเชื่อตามว่าพวกเขาผิดปรกติและเข้าใจไปตามนั้น

เมื่อมีการรับเอาความคิด ‘โฮโมโฟเบีย’ เข้ามาเราก็เริ่มรู้สึกตัวเองว่าเราประหลาด ผิดปรกติ น่าละอายและรู้สึกผิดกับตัวเราเอง

ขั้นต่อมาของโฮโมโฟเบียที่กดดันเกย์ เลสเบี้ยนอยู่ภายในก็คือ การรับเอาความเชื่อในแง่ลบที่ตัวเองมีไปตัดสินคนอื่นที่เป็นแบบเรา เช่น ถ้าฉันเลวเพราะเป็นเลสเบี้ยน งั้นเธอก็เลวเพราะเป็นเลสเบี้ยนเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าโฮโมโฟเบียได้สร้างความยุ่งเหยิงให้กับความสัมพันธ์ของเพศเดียวกันอย่างไร

ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ของเกย์ เลสเบี้ยนจะยั่งยืนหรือล่มสลาย ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับการยอมรับตัวเองของพวกเขาและการได้รับการยอมรับสนับ สนุนที่ดีจากคนรอบข้าง นั่นก็คือเพื่อนและครอบครัว

ในอันดับที่เข้าใจง่าย ๆ ถ้าคุณยังคงเก็บความเป็นเกย์ของคุณไว้เป็นความลับสุดยอด มันก็ยากที่คุณจะได้รู้จักหรือพบปะกับเพื่อนเกย์ เลสเบี้ยน คนอื่น ๆ คุณจะปล่อยให้ตัวเองอยู่กับช่วงเวลาที่ยากลำบากไปอีกยาวนาน ต้องคอยเฝ้าสงสัยอยู่ในใจตลอดเวลาว่าคนที่อยู่รอบตัวเรา คนนู้น คนนี้ อาจเป็นเกย์ หรือเป็นเลสเบี้ยนหรือเปล่านะ ?

ในระดับที่ลึกลงไป การไม่ยอมเปิดเผยตัวเองเป็นสิ่งที่ขัดแย้งต่อการพัฒนาทางจิตวิญญาณด้านใน เพราะมันเป็นการปฏิเสธอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่เราเป็น และเป็นการนำพาตัวเองไปสู่ข่ายใยของการสร้างความลับ ทั้งในที่ทำงาน, ที่บ้าน และกับเพื่อนฝูง

ถ้าเรามีคนรัก เราก็มักจะแนะนำว่านี่เป็นเพื่อนร่วมห้อง เราสร้างกำแพงรอบตัวเรา และเพื่อน ๆ ก็ไม่มีโอกาสมองเห็นตัวตนของเราอย่างแท้จริง เราไม่ชวนแฟนไปบ้านเพื่อนหรืองานปาร์ตี้ แม้แต่วันหยุดกับครอบครัวเราก็ไม่ชวนแฟนของเราไป ทั้งหมดเราทำไปโดยปราศจากความลึกซึ้งกับสิ่งเหล่านั้น

เมื่อเรายังคงปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของเรา นั่นก็คือเราเริ่มสร้างเกราะป้องกันรอบตัวเองเต็มไปหมด

ในเมื่อไม่มีใครช่วยสนับสนุนเรา ผลลัพธ์ของการอยู่อย่างโดดเดี่ยวจะทำให้เกิดความเครียดกับความสัมพันธ์ของ คู่รัก คู่รักทุกคู่ต้องการมิตรภาพ การยอมรับและการสนับสนุนจากคนรอบข้าง แต่การปิดบังซ่อนเร้นก็ยังคงย้ำเตือนเราอยู่นั่นเองว่าเรา ‘รักเพศเดียวกัน’ อยู่ดี

อีกด้านหนึ่ง ถ้าเราอยู่ในชุมชนที่ยอมรับตัวตนของเราอย่างดีเยี่ยม เราก็จะไม่แตกต่างจากคนอื่น ๆ และเราก็จะสามารถพูดถึงเรื่องราวความเป็นเกย์ เลสเบี้ยนของเราได้อย่างปรกติสุข เราเป็นเพื่อนกับคนอื่น ๆ อยู่ร่วมกันในชุมชน พูดคุย รู้จักกันและกัน ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในเรื่องของเรากับคนกลุ่มอื่น ๆ

ถ้าต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องความรัก ก็ควรจะเปิดเผยตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้กับเพื่อนเกย์ เลสเบี้ยน รวมทั้งเพื่อนรักต่างเพศของเรา

แน่นอนว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมคือศิลปะในการเปิดเผยตัวเอง แต่ในบางเวลาอาจไม่มีความจำเป็นแต่กลับเป็นการทำลายตัวเองหากเปิดเผยในช่วง ที่ผิดกาลเทศะ

แต่ถ้าเราปิดตัวเอง ไม่ใช่แค่เราปล่อยตัวเองให้โดดเดี่ยวเท่านั้น แต่เรายังปล่อยให้ โฮโมโฟเบีย ออกรากเจริญเติบโตงอกงามอยู่ภายในด้วย

กลับไปหัวข้อที่เราพูดคุยกันในตอนต้นเกี่ยวกับการทำให้เห็นความแตกต่าง การเปิดเผยตัวเอง เป็นการทำให้ผู้คนได้เห็นความแตกต่างและเป็นการแยกตัวเราออกมาให้พ้นจากอคติของสังคม

เราเปลี่ยนแปลงตัวตนและธรรมชาติพื้นฐานของเราไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความรู้สึก ความรักที่มีต่อเพศเดียวกัน สิ่งที่เราทำได้ก็คือความจริงใจกับตัวเราเองอย่างที่พระเจ้าหรือธรรมชาติได้ สร้างสรรค์เรามา นี่เป็นสัจจธรรมสำหรับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเลสเบี้ยน ไบเซ็กช่วล รักต่างเพศ หรือเกย์

เมื่อเราจริงใจกับตัวเรา เรามีชีวิตอยู่กับความเป็นแก่นแท้ของเรา เมื่อนั้นเราก็จะสามารถสร้างพันธสัญญาในความสัมพันธ์กับคนที่เรารักได้ และความรักทั้งหมดนั้นก็เป็นรักที่มาจากเบื้องบน มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย ๆ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้าพได้เข้าร่วมอบรมเรียนรู้ ‘การเปิดเผยตนเอง’ ซึ่งจัดโดย ชาสติตี้ โบโน (Chastity Bono) เธอนำผู้เข้าร่วมตอบชุดคำถามต่อไปนี้ว่า

‘คุณเปิดเผยตัวเองครั้งแรกเมื่อไหร่’

‘เกิดอะไรขึ้น’

‘ผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง’

‘คุณเสียใจไหม’

หลายคนในวงอบรมประสบกับการไม่ยอมรับของครอบครัว ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจว่าฉันไม่ควรจะเปิดเผยตัวเองอีก ในที่สุดการเปิดเผยตัวเองก็หยุดอยู่เพียงแค่นั้น



คนเราต่างก็มีความลับปิดบังซ่อนเร้นด้วยกันทุกคน เราสร้างหลุมเอาไว้ฝังความลับและเราก็ไม่เคยบอกใคร บทความตอนนี้กำลังบอกให้คุณเรียนรู้ที่จะนำพาตัวเองออกมาจากความกลัว ความเจ็บปวด ความละอาย เพื่อสัมผัสกับความสุข ความพิเศษ ความรัก



สำหรับหนทางแห่งการพัฒนาชีวิตด้านในแล้วการเปิดเผยตัวเองไม่ใช่ ทำแค่ครั้งเดียว แต่คือการทำให้เป็นกิจวัตรทุกวัน มันเป็นการเรียนรู้ตนเอง เปิดใจยอมรับเพื่อที่จะได้เห็นว่าวิญญาณและความดีมีอยู่ในตัวคนทุกคน.

credit: http://queerfilm.wordpress.com