แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เลส ไดอารี่ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เลส ไดอารี่ แสดงบทความทั้งหมด
จะครบ 3ปีแล้ว
ไดอารี่นี้ เขียนไว้นาน หลายปีแล้ว ตั้งแต่แป้งจากไป ไม่อยากให้ความรู้สึกดีๆ,
ความคิดถึง มันจางหายไปตามกาลเวลา อยากเก็บไว้ในรูปแบบ ตัวหนังสือ
ที่สามารถกลับมาอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ ความทรงจำของเราสองคนทุกเรื่อง
ยังจำได้ดี
วันนี้วันที่ 24 มันก็มาถึงอีกแล้ว เช้านี้เค้าจะตื่นไปใส่บาตรให้อ้วนนะ
รักเสมอ ถ้าชาติหน้ามีจริง ของให้เราเกิดมารู้จักและรักกัน แบบนี้อีกนะอ้วนนะ
แกล้งเข้มแข็ง
มันก็จริงอย่างที่หลวงพ่อบอก
หัวสมองฉันมันไม่รับอะไรเลย
มีแต่เรื่องแป้ง,ภาพแป้ง,คำพูดของแป้งวนเวียนอยู่แบบนี้ทุกวัน
แม่แป้งก็โทรมาถามข่าวคราวฉันเป็นระยะๆ
และบอกว่า คิดถึงฉันเช่นกัน ทุกครั้งที่คิดถึงแป้ง ก็จะนึกถึงฉันไปด้วย
ฉันเข้าใจหัวอกพ่อแม่แป้งเป็นอย่างดี
ขนาดฉันยังเป็นถึงขนาดนี้ พ่อแม่ที่เค้าอยู่กันมาทุกวันจะรู้สึกยังไง
วันเวลาผ่านไปจนจะครบปีแล้ว ที่แป้งได้จากไป
ทุกๆวันที่ 24 ในตอนหกโมงเย็นกว่าๆ
ฉันต้องหาอะไรทำให้มันวุ่นวาย ไม่ให้หัวสมองอยู่นิ่งๆ
ถ้าไม่ทำเช่นนั้น ภาพที่ห้องไอซียูในวันนั้นจะกลับมาอีกครั้ง
เป็นอย่างนี้ตลอดเกือบปี
แต่ฉันไม่เคยลืมทุกอย่างที่เป็นแป้งเลย
ทุกวันนี้ก็ยังคงคิดถึง และมีน้ำตาอยู่บ่อยๆ
แต่ความอ่อนแอ ของเรา บางครั้งก็ต้องปิดบังไม่ให้ใครรู้
เราต้องแกล้งทำเป็นสดใส ร่าเริง
เราต้องแกล้งทำเป็นทำใจได้แล้ว... เพื่อความสบายใจของคนใกล้ตัว
หัวสมองฉันมันไม่รับอะไรเลย
มีแต่เรื่องแป้ง,ภาพแป้ง,คำพูดของแป้งวนเวียนอยู่แบบนี้ทุกวัน
แม่แป้งก็โทรมาถามข่าวคราวฉันเป็นระยะๆ
และบอกว่า คิดถึงฉันเช่นกัน ทุกครั้งที่คิดถึงแป้ง ก็จะนึกถึงฉันไปด้วย
ฉันเข้าใจหัวอกพ่อแม่แป้งเป็นอย่างดี
ขนาดฉันยังเป็นถึงขนาดนี้ พ่อแม่ที่เค้าอยู่กันมาทุกวันจะรู้สึกยังไง
วันเวลาผ่านไปจนจะครบปีแล้ว ที่แป้งได้จากไป
ทุกๆวันที่ 24 ในตอนหกโมงเย็นกว่าๆ
ฉันต้องหาอะไรทำให้มันวุ่นวาย ไม่ให้หัวสมองอยู่นิ่งๆ
ถ้าไม่ทำเช่นนั้น ภาพที่ห้องไอซียูในวันนั้นจะกลับมาอีกครั้ง
เป็นอย่างนี้ตลอดเกือบปี
แต่ฉันไม่เคยลืมทุกอย่างที่เป็นแป้งเลย
ทุกวันนี้ก็ยังคงคิดถึง และมีน้ำตาอยู่บ่อยๆ
แต่ความอ่อนแอ ของเรา บางครั้งก็ต้องปิดบังไม่ให้ใครรู้
เราต้องแกล้งทำเป็นสดใส ร่าเริง
เราต้องแกล้งทำเป็นทำใจได้แล้ว... เพื่อความสบายใจของคนใกล้ตัว
24 วันครบรอบการจากไป
แป้ง เมื่อเ้ช้าตื่นไปใส่บาตรให้แป้งด้วยนะ
ก็ครบรอบวันที่แป้งจากไป
เวลาผ่านไปไวมากเลยนะ เดือนหน้าก็จะครบ 1ปีแล้ว
แม่แป้งบอกว่า คงจะทำบุญที่บ้านแป้งนะ
เค้าก็จะไปแน่นอน ครั้งล่าสุดที่ไปบ้านแป้ง ก็วันครบรอบ 100วัน
แม่แป้งบอกว่า ทำบ้านใหม่นะ เค้าไม่อยากไปดูหรอกนะ บ้านใหม่อ่ะ
บ้านใหม่ที่ไม่มีแป้ง ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าเค้าจะต่อเติมบ้านใหม่กันไปเพื่ออะไร
แม่แป้งบอกว่า ทาสีห้องให้แป้งด้วยนะ
มันไม่ประโยชน์หรอก ใช่มั๊ยแป้ง
อยากให้เค้าทำบุญที่วัดกันจังเลย ไม่อยากไปบ้านแป้งเลย
ไม่อยากเห็น กลัวทำใจไม่ได้
วันนี้ก้เหมือนกัน เมื่อคืนกินยาช่วยให้หลับ
แล้วก็ตื่นไปใส่บาตรตอนตี 5ครึ่ง แล้วกลับมานอนต่อ
ตื่นมาอีกทีประมาณสี่โมงเย็น ตั้งใจว่าจะนอนให้มันผ่านช่วงเวลา 6โมงเ็ย็นของวันนี้ไปก่อน
มันอดไม่ได้ที่จะนึกถึง วันนี้ของปีที่แล้ว
หลับให้สบายนะแป้งนะ
ก็ครบรอบวันที่แป้งจากไป
เวลาผ่านไปไวมากเลยนะ เดือนหน้าก็จะครบ 1ปีแล้ว
แม่แป้งบอกว่า คงจะทำบุญที่บ้านแป้งนะ
เค้าก็จะไปแน่นอน ครั้งล่าสุดที่ไปบ้านแป้ง ก็วันครบรอบ 100วัน
แม่แป้งบอกว่า ทำบ้านใหม่นะ เค้าไม่อยากไปดูหรอกนะ บ้านใหม่อ่ะ
บ้านใหม่ที่ไม่มีแป้ง ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าเค้าจะต่อเติมบ้านใหม่กันไปเพื่ออะไร
แม่แป้งบอกว่า ทาสีห้องให้แป้งด้วยนะ
มันไม่ประโยชน์หรอก ใช่มั๊ยแป้ง
อยากให้เค้าทำบุญที่วัดกันจังเลย ไม่อยากไปบ้านแป้งเลย
ไม่อยากเห็น กลัวทำใจไม่ได้
วันนี้ก้เหมือนกัน เมื่อคืนกินยาช่วยให้หลับ
แล้วก็ตื่นไปใส่บาตรตอนตี 5ครึ่ง แล้วกลับมานอนต่อ
ตื่นมาอีกทีประมาณสี่โมงเย็น ตั้งใจว่าจะนอนให้มันผ่านช่วงเวลา 6โมงเ็ย็นของวันนี้ไปก่อน
มันอดไม่ได้ที่จะนึกถึง วันนี้ของปีที่แล้ว
หลับให้สบายนะแป้งนะ
เวรกรรมมีจริง
ไม่น่าเชื่อว่า รายชื่อทุกคนที่อยู่ในกระดาษนั้นมีตัวตนอยู่จริงๆ
และที่สำคัญการไปหาคุณไพศาลที่ลำพูนในครั้งนั้น
ไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น นอกจากให้รีบกลับมาตามหาคนตามที่เขียนมา
และให้ไปไหว้พระ ซึ่งคุณไพศาลจะเขียนบอกชื่อวัดมาให้
แน่นอนว่าทุกคนที่พ่อแป้งได้ไปหานั้น บางคนก็งง
แต่ทุกคนก็ให้ความร่วมมือดี โดยให้พูดขออโหสิกรรมให้แป้ง
หลังจากพ่อแป้ง ไปหาคนตามรายชื่อได้ประมาณ 2คน
พวกเราก็ได้รับข่าวดี จากคุณหมอที่ห้องไอซียู
ว่าตอนนี้ พบเชื้อแล้ว ทำให้สามารถรักษาแป้งได้
เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ฉันได้ข้อคิดอะไรมากมาย
ว่าเวรกรรมนั้นมีจริง เราไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่าชาติที่แล้ว
เราไปทำเวรทำกรรมกับใครไว้บ้าง เจ้ากรรมนายเวรยังตามเราอยู่หรือไม่
สิ่งเดียวที่ควรทำ และทำให้มากที่สุด คือการทำบุญ และทำความดี
และที่สำคัญการไปหาคุณไพศาลที่ลำพูนในครั้งนั้น
ไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น นอกจากให้รีบกลับมาตามหาคนตามที่เขียนมา
และให้ไปไหว้พระ ซึ่งคุณไพศาลจะเขียนบอกชื่อวัดมาให้
แน่นอนว่าทุกคนที่พ่อแป้งได้ไปหานั้น บางคนก็งง
แต่ทุกคนก็ให้ความร่วมมือดี โดยให้พูดขออโหสิกรรมให้แป้ง
หลังจากพ่อแป้ง ไปหาคนตามรายชื่อได้ประมาณ 2คน
พวกเราก็ได้รับข่าวดี จากคุณหมอที่ห้องไอซียู
ว่าตอนนี้ พบเชื้อแล้ว ทำให้สามารถรักษาแป้งได้
เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ฉันได้ข้อคิดอะไรมากมาย
ว่าเวรกรรมนั้นมีจริง เราไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่าชาติที่แล้ว
เราไปทำเวรทำกรรมกับใครไว้บ้าง เจ้ากรรมนายเวรยังตามเราอยู่หรือไม่
สิ่งเดียวที่ควรทำ และทำให้มากที่สุด คือการทำบุญ และทำความดี
ชาิติที่แล้ว
ไม่รู้ว่า แป้งจะโกรธมั๊ย ถ้าแป้งรู้ว่าแม่แป้งมาอ่านเมล์ของแป้ง
ซึ่งแน่นอนมันมีเรื่องอีกมากมายที่แม่แป้งไม่เคยรู้มาก่อนเลย
แต่อาจจะเป็นการดีก็ได้ ที่ทำให้แม่เค้าเข้าใจลูกเค้ามากขึ้น
แต่มันอาจจะสายไปแล้ว ที่มารู้อะไรๆเอาในตอนนี้
คนเรากว่าจะคิดได้, กว่าจะรู้ค่าของคนที่เรารักหรือรักเรา
ก็เมื่อเค้าจากไปแล้ว ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย
คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
เมื่อไม่มีเค้าอีกต่อไปแล้ว
เราก็จะทำได้แต่คิด คิด ตอนเค้าอยู่ ทำไมเราไม่ทำดีกับเค้า
ตอนเค้าอยู่ ทำไมเราไม่พาเค้าไปเที่ยวบ่อยๆ
ทำไมเรามัวแต่ทำงาน ทำไมเราคิดแต่หาเงิน
ตอนนี้ไม่มีเค้าแล้ว เงินที่หามาได้ ก็ไม่สามารถนำไปใช้ด้วยกันได้
ของกินอร่อยๆที่เค้าชอบกิน ก็ทำได้แค่เพียงทำบุญไปให้
เสียงที่เคยได้ยินทุกวันก่อนนอน ก็ไม่มีอีกแล้ว
ทำได้แค่เพียงอ่านแมดเสด
กับมองรูปที่เอาไปทำเป็นที่ติดตู้เย็นติดไว้
คิดถึงก็หันไปดูรูป,อ่านแมดเสด,อ่านเมล์
ทำได้แค่นี้เอง
แป้งไม่เคยมาหา, แป้งไม่เคยมาเข้าฝัน
เคยมีน้องแป้งที่ฝันถึงแป้ง ตอนแป้งตายไปใหม่ๆ
ฝันว่าแป้งอยากได้ชุดขาว
และน้องแป้งถามว่า ที่พ่อแม่ญาติๆทำบุญไปให้ได้รับบ้างหรือเปล่า
แป้งบอกว่า ได้รับ
เรื่องแบบนี้บางคนอาจว่า งมงาย
แต่ถ้าไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง จะไม่รู้หรอก
เรื่องของบุญ กรรม, ชาตินี้ ชาติที่แล้ว
ขนาดหมอที่รักษาแป้ง ยังเชื่อเรื่องแบบนี้เลย
ตอนนั้นที่แป้งเข้าไอซียูครั้งแรก ที่หัวใจหยุดเต้นไปสักพักนึง
แล้วคุณหมอมาช่วยได้ทัน แต่ก้ต้องนอนไอซียูเป็นเดือน
ตอนแรก หมอเรียกพ่อแม่แป้งไปคุย
คุณหมอบอกว่า รักแป้งมาก เพราะรักษากันมานาน
รักเหมือนลูกเลย และบอกกับพ่อแม่แป้งว่า แป้งอาการหนักมาก
คุณหมอบอกกับพ่อแม่แป้งในวันนั้น
ว่าคุณหมอศึกษาและปฏิบัติธรรมสายวิปัสนา
อยากให้พ่อแม่แป้งรีบไปที่ลำพูนโดยด่วน เร็วที่สุดยิ่งดี
ให้ไปหา คุณไพศาล ซึ่งฉันก็จำไม่ได้แล้วว่าคุณไพศาลเป็นใคร
รู้แต่ว่ามีชื่อเสียงมาก เกี่ยวกับเรื่องการระลึกชาติได้
เค้าสามารถรู้ว่าชาติที่แล้ว เราเป็นใคร
มีคนใหญ่คนโตที่มีชื่อเสียง และไม่สบายได้ไปหาคุณไพศาล
และสามารถรักษาหายได้
หลังจากคุยกับคุณหมอในคืนนั้นแล้ว
พ่อแม่แป้งก็นั่งรถทัวร์ไปลำพูนในทันที
เหตุการณ์ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ และไม่ได้ไปด้วย
แต่พ่อแป้งกลับมาเล่าให้ฟังว่า
คุณไพศาลได้นั่งทางในดู (โดยไม่รู้มาก่อนเลยว่าแป้งเป็นโรคอะไร
ไม่รู้แม้กระทั่งว่าแป้งนอนอยู่ไอซียู
รู้แต่เพียงว่า คุณหมอแนะนำมาอีกที
และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นในการไปครั้งนั้น
คุณไพศาลบอกว่า ชาติที่แล้ว (ไม่รู้กี่ร้อยปีมาแล้ว)
แป้งเกิดเป็นสนมของพระเจ้าตาก
และแป้งได้ไปทำการลงโทษคนอื่นอย่างโหดร้ายและไม่มีเหตุผล
โดยแป้งสั่งให้เค้าอดอาหาร ทั้งๆที่เค้าหิวมาก
และแป้งก็สั่งให้เค้ากินๆๆๆ จนเค้ากินไม่ไหว
และคนพวกนี้เค้าได้โกรธแป้งมาก และตามอาฆาตแค้น
ฉันได้ยินทีแรก แทบไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์จะตรงกับแป้งที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนั้น
คือแป้งโดนหมอโภชนาการสั่งให้อดอาหาร เป็นเวลาเป้นอาทิตย์ๆเลย
เพื่อจะดูว่า น้ำที่ปอดจะอยู่ไหลมั๊ย หมอสั่งห้ามกินอาหาร
น้ำก็จิบได้นิดๆหน่อยๆ โดยใช้สลิ้งหยดใส่ปากทีละหยด
ฉันเห็นแล้วสงสารแป้งมาก
แป้งเป็นคนที่ชอบของกินอร่อยๆ มีความสุขกับการได้กินขนม อาหารอร่อยๆ
แต่แป้งก็ยอมทำตามที่หมอสั่ง จนร่างกายผอมลงไปมาก
น้ำในปอดก็ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดไหล
หมอจึงมาสังให้กินอาหารได้ มีอาหารบำรุงวิตามินต่างๆมาให้กินมากมาย
แต่แป้งก็กินไม่ได้อยู่หลายวัน เหตุเพราะโดนสั่งอดอาหารมาเป้นเวลานาน
จู่ๆ ก็จะให้กินขึ้นมาทันทีทันใด
พวกเราทุกคน พยายามหาของกินที่แป้งชอบ ซื้อมาให้ทุกอย่าง
แต่ไม่เป็นผล แป้งกินอะไรไม่ลงอยู่เป็นอาทิตย์ๆ
และเมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวได้ แป้งก็กลับมากินได้เหมือนปกติ แต่ยังไม่เหมือนเดิมซะทีเดียว
หลังจากที่แป้งรู้เรื่องที่คุณไพศาลบอกมาเรื่องชาติที่แล้วของแป้ง
แป้งเสียใจมาก ที่รู้ว่าตัวเองเคยไปทำอะไรไว้
ฉันบอกแป้งว่า มันเป็นเรื่องของชาติที่แล้ว ซึ่งเกิดมากี่ปีแล้วไมู่รู้
ไม่ใช่แป้งคนปัจจุบันนะ แป้งคนนี้ไม่เคยคิดร้ายกับใครเลย
แม้กระทั่งหมาแมว ก็รัก ซึ่งฉันไม่เคยเห็นใครรักสัตว์ได้ขนาดนี้เลย
คุณไพศาลได้เขียนชื่อคนใส่กระดาษมาให้พ่อแป้ง
ประมาณ 5คน ในกระดาษ เขียนชื่อ นามสกุล พร้อมที่อยู่
และบอกว่า 5คนนี้เป็นคนที่เมื่อชาติที่แล้วแป้งไปทรมานเค้าไว้
ตอนนี้เค้ามาเกิดแล้ว พร้อมบอกอายุของแต่ละคน
และให้พ่อแป้งไปตามหา และไปขอขมาเค้าและขอให้เค้าอโหสิกรรมให้แป้งด้วย
บางคนก็อยู่ในกทม. บางคนก็อยู่จังหวัดอื่น
ซึ่งแน่นอนมันมีเรื่องอีกมากมายที่แม่แป้งไม่เคยรู้มาก่อนเลย
แต่อาจจะเป็นการดีก็ได้ ที่ทำให้แม่เค้าเข้าใจลูกเค้ามากขึ้น
แต่มันอาจจะสายไปแล้ว ที่มารู้อะไรๆเอาในตอนนี้
คนเรากว่าจะคิดได้, กว่าจะรู้ค่าของคนที่เรารักหรือรักเรา
ก็เมื่อเค้าจากไปแล้ว ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย
คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
เมื่อไม่มีเค้าอีกต่อไปแล้ว
เราก็จะทำได้แต่คิด คิด ตอนเค้าอยู่ ทำไมเราไม่ทำดีกับเค้า
ตอนเค้าอยู่ ทำไมเราไม่พาเค้าไปเที่ยวบ่อยๆ
ทำไมเรามัวแต่ทำงาน ทำไมเราคิดแต่หาเงิน
ตอนนี้ไม่มีเค้าแล้ว เงินที่หามาได้ ก็ไม่สามารถนำไปใช้ด้วยกันได้
ของกินอร่อยๆที่เค้าชอบกิน ก็ทำได้แค่เพียงทำบุญไปให้
เสียงที่เคยได้ยินทุกวันก่อนนอน ก็ไม่มีอีกแล้ว
ทำได้แค่เพียงอ่านแมดเสด
กับมองรูปที่เอาไปทำเป็นที่ติดตู้เย็นติดไว้
คิดถึงก็หันไปดูรูป,อ่านแมดเสด,อ่านเมล์
ทำได้แค่นี้เอง
แป้งไม่เคยมาหา, แป้งไม่เคยมาเข้าฝัน
เคยมีน้องแป้งที่ฝันถึงแป้ง ตอนแป้งตายไปใหม่ๆ
ฝันว่าแป้งอยากได้ชุดขาว
และน้องแป้งถามว่า ที่พ่อแม่ญาติๆทำบุญไปให้ได้รับบ้างหรือเปล่า
แป้งบอกว่า ได้รับ
เรื่องแบบนี้บางคนอาจว่า งมงาย
แต่ถ้าไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง จะไม่รู้หรอก
เรื่องของบุญ กรรม, ชาตินี้ ชาติที่แล้ว
ขนาดหมอที่รักษาแป้ง ยังเชื่อเรื่องแบบนี้เลย
ตอนนั้นที่แป้งเข้าไอซียูครั้งแรก ที่หัวใจหยุดเต้นไปสักพักนึง
แล้วคุณหมอมาช่วยได้ทัน แต่ก้ต้องนอนไอซียูเป็นเดือน
ตอนแรก หมอเรียกพ่อแม่แป้งไปคุย
คุณหมอบอกว่า รักแป้งมาก เพราะรักษากันมานาน
รักเหมือนลูกเลย และบอกกับพ่อแม่แป้งว่า แป้งอาการหนักมาก
คุณหมอบอกกับพ่อแม่แป้งในวันนั้น
ว่าคุณหมอศึกษาและปฏิบัติธรรมสายวิปัสนา
อยากให้พ่อแม่แป้งรีบไปที่ลำพูนโดยด่วน เร็วที่สุดยิ่งดี
ให้ไปหา คุณไพศาล ซึ่งฉันก็จำไม่ได้แล้วว่าคุณไพศาลเป็นใคร
รู้แต่ว่ามีชื่อเสียงมาก เกี่ยวกับเรื่องการระลึกชาติได้
เค้าสามารถรู้ว่าชาติที่แล้ว เราเป็นใคร
มีคนใหญ่คนโตที่มีชื่อเสียง และไม่สบายได้ไปหาคุณไพศาล
และสามารถรักษาหายได้
หลังจากคุยกับคุณหมอในคืนนั้นแล้ว
พ่อแม่แป้งก็นั่งรถทัวร์ไปลำพูนในทันที
เหตุการณ์ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ และไม่ได้ไปด้วย
แต่พ่อแป้งกลับมาเล่าให้ฟังว่า
คุณไพศาลได้นั่งทางในดู (โดยไม่รู้มาก่อนเลยว่าแป้งเป็นโรคอะไร
ไม่รู้แม้กระทั่งว่าแป้งนอนอยู่ไอซียู
รู้แต่เพียงว่า คุณหมอแนะนำมาอีกที
และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นในการไปครั้งนั้น
คุณไพศาลบอกว่า ชาติที่แล้ว (ไม่รู้กี่ร้อยปีมาแล้ว)
แป้งเกิดเป็นสนมของพระเจ้าตาก
และแป้งได้ไปทำการลงโทษคนอื่นอย่างโหดร้ายและไม่มีเหตุผล
โดยแป้งสั่งให้เค้าอดอาหาร ทั้งๆที่เค้าหิวมาก
และแป้งก็สั่งให้เค้ากินๆๆๆ จนเค้ากินไม่ไหว
และคนพวกนี้เค้าได้โกรธแป้งมาก และตามอาฆาตแค้น
ฉันได้ยินทีแรก แทบไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์จะตรงกับแป้งที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนั้น
คือแป้งโดนหมอโภชนาการสั่งให้อดอาหาร เป็นเวลาเป้นอาทิตย์ๆเลย
เพื่อจะดูว่า น้ำที่ปอดจะอยู่ไหลมั๊ย หมอสั่งห้ามกินอาหาร
น้ำก็จิบได้นิดๆหน่อยๆ โดยใช้สลิ้งหยดใส่ปากทีละหยด
ฉันเห็นแล้วสงสารแป้งมาก
แป้งเป็นคนที่ชอบของกินอร่อยๆ มีความสุขกับการได้กินขนม อาหารอร่อยๆ
แต่แป้งก็ยอมทำตามที่หมอสั่ง จนร่างกายผอมลงไปมาก
น้ำในปอดก็ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดไหล
หมอจึงมาสังให้กินอาหารได้ มีอาหารบำรุงวิตามินต่างๆมาให้กินมากมาย
แต่แป้งก็กินไม่ได้อยู่หลายวัน เหตุเพราะโดนสั่งอดอาหารมาเป้นเวลานาน
จู่ๆ ก็จะให้กินขึ้นมาทันทีทันใด
พวกเราทุกคน พยายามหาของกินที่แป้งชอบ ซื้อมาให้ทุกอย่าง
แต่ไม่เป็นผล แป้งกินอะไรไม่ลงอยู่เป็นอาทิตย์ๆ
และเมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวได้ แป้งก็กลับมากินได้เหมือนปกติ แต่ยังไม่เหมือนเดิมซะทีเดียว
หลังจากที่แป้งรู้เรื่องที่คุณไพศาลบอกมาเรื่องชาติที่แล้วของแป้ง
แป้งเสียใจมาก ที่รู้ว่าตัวเองเคยไปทำอะไรไว้
ฉันบอกแป้งว่า มันเป็นเรื่องของชาติที่แล้ว ซึ่งเกิดมากี่ปีแล้วไมู่รู้
ไม่ใช่แป้งคนปัจจุบันนะ แป้งคนนี้ไม่เคยคิดร้ายกับใครเลย
แม้กระทั่งหมาแมว ก็รัก ซึ่งฉันไม่เคยเห็นใครรักสัตว์ได้ขนาดนี้เลย
คุณไพศาลได้เขียนชื่อคนใส่กระดาษมาให้พ่อแป้ง
ประมาณ 5คน ในกระดาษ เขียนชื่อ นามสกุล พร้อมที่อยู่
และบอกว่า 5คนนี้เป็นคนที่เมื่อชาติที่แล้วแป้งไปทรมานเค้าไว้
ตอนนี้เค้ามาเกิดแล้ว พร้อมบอกอายุของแต่ละคน
และให้พ่อแป้งไปตามหา และไปขอขมาเค้าและขอให้เค้าอโหสิกรรมให้แป้งด้วย
บางคนก็อยู่ในกทม. บางคนก็อยู่จังหวัดอื่น
ความลับ
วันนี้แม่แป้งโทรมาหา
แม่แป้งโทรมาหาฉันเดือนละครั้งได้
ฉันเสียอีกที่ไม่เคยคิดจะโทรไปหาแม่แป้ง
ดูเหมือนว่าฉันจะทำตัวไม่ดีเอาเสียเลย
พอแป้งตายจากไป ฉันก็ทำตัวห่างเหิน ไม่สานต่อความสัมพันธ์
ครอบครัวแป้งอาจจะมองฉันแบบนั้นก็ได้ หรือไม่ฉันก็ไม่สามารถเดาได้
ฉันก็ไม่ได้จำฝังใจกับเรื่องราวที่ผ่านมาหรอกนะ
ถึงฉันไม่ใช่คนในครอบครัวแป้ง แต่ฉันก็คบกับแป้งมาเกือบ 7ปีได้
ฉันก็รู้เรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นกับแป้งมากพอ
รู้ว่าชีวิตแป้ง น่าสงสารแค่ไหน
ความลำเอียงของผุ้เป็นแม่, การรักลูกไม่เท่ากัน
แม่กระทั่งยามแป้งเจ็บป่วย เรื่องบางเรื่องไม่น่าเกิดขึ้นกับคนป่วย
แต่มันก็เกิดขึ้น, คำพูดที่ทำร้ายจิตใจ มีให้เห็นอยุ่บ่อยๆ
อยากบอกว่า แป้งเข้มแข็งและอดทนมากแล้ว
ตอนนี้แป้งไม่ต้องอดทน,แป้งไม่ต้องน้อยใจอะไรอีกต่อไปแล้ว
หลับให้สบายนะแป้ง สักวันเราคงได้เจอกัน
แม่แป้งโทรมาถามสารทุกข์สุขดิบ
พร้อมกับขอ พาสเวอร์ด เมล์แป้ง
แน่นอนว่าฉันรู้แม้กระทั่งพาสเวอร์ดเมล์ของแป้ง
ตอนที่แป้งนอนรพ. เป็นเดือนๆ แป้งจะให้ฉันเข้ามาเช็คเมล์ให้
ทุกวันนี้ฉันก็ยังทำเช่นนั้นอยู่ ฉันเข้าไปลบเมล์ขยะให้แป้ง
ฉันบอก password ให้แม่แป้งไป
หลังจากนั้นในตอนเย็นๆ แม่แป้งก็โทรมาเล่าให้ฟังว่า
นั่งอ่านเมล์แป้งยังไม่หมดเลย อ่านแล้วก็เหมือนได้คุยกับแป้งไปด้วย
แม่แป้งเล่าไปด้วยเสียงสั่นเครือ ฉันเข้าใจความรุ้สึกดี
แม่แป้งพูดถึงใครบางคนทีอยู่ในเมล์ที่แป้งส่งไปคุยด้วย
ฉันไม่คิดเลยว่าแม่แป้งจะไปอ่านเจอ
เพราะแป้งทำเป็น folder แยกไว้ต่างหาก
ความลับ ไม่มีในโลก ซะแล้วล่ะแป้ง
ความลับที่อยู่ในเมล์ถูกเปิดเผยออกมาวันนี้
แต่มันยังมีที่เป็นความลับมากกว่านั้น ใช่มั๊ยแป้ง
แน่นอนว่า จะไม่มีใครรุ้ นอกจากเรา2คน
แม่แป้งโทรมาหาฉันเดือนละครั้งได้
ฉันเสียอีกที่ไม่เคยคิดจะโทรไปหาแม่แป้ง
ดูเหมือนว่าฉันจะทำตัวไม่ดีเอาเสียเลย
พอแป้งตายจากไป ฉันก็ทำตัวห่างเหิน ไม่สานต่อความสัมพันธ์
ครอบครัวแป้งอาจจะมองฉันแบบนั้นก็ได้ หรือไม่ฉันก็ไม่สามารถเดาได้
ฉันก็ไม่ได้จำฝังใจกับเรื่องราวที่ผ่านมาหรอกนะ
ถึงฉันไม่ใช่คนในครอบครัวแป้ง แต่ฉันก็คบกับแป้งมาเกือบ 7ปีได้
ฉันก็รู้เรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นกับแป้งมากพอ
รู้ว่าชีวิตแป้ง น่าสงสารแค่ไหน
ความลำเอียงของผุ้เป็นแม่, การรักลูกไม่เท่ากัน
แม่กระทั่งยามแป้งเจ็บป่วย เรื่องบางเรื่องไม่น่าเกิดขึ้นกับคนป่วย
แต่มันก็เกิดขึ้น, คำพูดที่ทำร้ายจิตใจ มีให้เห็นอยุ่บ่อยๆ
อยากบอกว่า แป้งเข้มแข็งและอดทนมากแล้ว
ตอนนี้แป้งไม่ต้องอดทน,แป้งไม่ต้องน้อยใจอะไรอีกต่อไปแล้ว
หลับให้สบายนะแป้ง สักวันเราคงได้เจอกัน
แม่แป้งโทรมาถามสารทุกข์สุขดิบ
พร้อมกับขอ พาสเวอร์ด เมล์แป้ง
แน่นอนว่าฉันรู้แม้กระทั่งพาสเวอร์ดเมล์ของแป้ง
ตอนที่แป้งนอนรพ. เป็นเดือนๆ แป้งจะให้ฉันเข้ามาเช็คเมล์ให้
ทุกวันนี้ฉันก็ยังทำเช่นนั้นอยู่ ฉันเข้าไปลบเมล์ขยะให้แป้ง
ฉันบอก password ให้แม่แป้งไป
หลังจากนั้นในตอนเย็นๆ แม่แป้งก็โทรมาเล่าให้ฟังว่า
นั่งอ่านเมล์แป้งยังไม่หมดเลย อ่านแล้วก็เหมือนได้คุยกับแป้งไปด้วย
แม่แป้งเล่าไปด้วยเสียงสั่นเครือ ฉันเข้าใจความรุ้สึกดี
แม่แป้งพูดถึงใครบางคนทีอยู่ในเมล์ที่แป้งส่งไปคุยด้วย
ฉันไม่คิดเลยว่าแม่แป้งจะไปอ่านเจอ
เพราะแป้งทำเป็น folder แยกไว้ต่างหาก
ความลับ ไม่มีในโลก ซะแล้วล่ะแป้ง
ความลับที่อยู่ในเมล์ถูกเปิดเผยออกมาวันนี้
แต่มันยังมีที่เป็นความลับมากกว่านั้น ใช่มั๊ยแป้ง
แน่นอนว่า จะไม่มีใครรุ้ นอกจากเรา2คน
ช่วงเวลาทำใจ
น่าแปลกนะที่ฉันขึ้นไปดูหน้าแป้ง โดยไม่ร้องไห้เลย
คงเป็นเพราะว่าฉันร้องมาเยอะแล้วก็ได้ หรือว่าไม่อยากให้แป้งเห็นน้ำตา ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ
น้าฉันเสียอีก ที่เป็นคนพยุงฉันขึ้นไป กลับเป็นคนร้องไห้เสียเอง เมื่อเค้าเปิดฝาโลงออกมา
น้าฉันจับมือฉันไปเคาะที่โลง แล้วพูดว่า แป้งไม่ต้องห่วงนกนะ
แต่ฉันรู้ว่า แป้งคงทำไม่ได้หรอก แป้งต้องห่วงฉันแน่นอน
ฉันที่เป็นคนไม่เอาไหน ทำอะไรก็ไม่เป็น พึ่งพาแป้งตลอด
จะกินก๋วยเตี๋ยว แป้งยังต้องปรุงให้เลย เพราะฉันปรุงไม่อร่อย
เพิ่งจะมาช่วงที่แป้งป่วยนี่หรอก ทำให้ฉันต้องมาช่วยตัวเอง
เพราะฉันต้องเป็นที่พึ่งให้แป้งบ้าง ตอนแป้งไม่สบาย
ช่วงที่ฉันขับรถไปเยี่ยมแป้งทุกวันที่ศิริราช
แป้งเคยพูดว่า "แห้งกินข้าวเยอะๆนะ เด๋วไม่สบาย ถ้าแห้งเป้นอะไรไปอีกคน ใครจะดูแลอ้วน"
เวลาเราคุยกัน ฉันจะเรียกแป้งว่าอ้วน ส่วนแป้งจะเรียกฉันว่าแห้ง
จนติดปากมาตลอด จนกลายจนชื่อของเราสองคนไปแล้ว
อ้วน แห้งกินข้าวเยอะแล้ว ทำไม่อ้วนไม่ยอมอยู่ให้แห้งดูแลต่อ ทำไมต้องทิ้งกันไปด้วย
ฉันไม่เคยฝันถึงแป้งเลย แป้งไม่เคยมาหาเลย
แป้งคงคิดว่าฉันจะกลัว กลัวหรือเปล่าไม่รู้นะอ้วน
รู้แต่ว่า คิดถึงอ้วนนะ
ทุกคนในบ้าน เป็นห่วงฉันมาก กลัวฉันคิดมาก และทำอะไรลงไป
แม่และพี่สาว คอยเดินเข้าเดินออกที่ห้อง เพื่อดูฉันบ่อยๆ
แต่ละวันผ่านไป โดยที่ฉันพึ่งยานอนหลับ เพื่อให้มันหลับๆไป
ถ้าไม่หลับ ก็จะร้องไห้ อยู่แค่นี้
ทุกครั้งที่ไปใส่บาตรให้แป้ง เวลาไปใส่บาตร เวลาที่พระให้พร
น้ำตามันก็จะไหลออกมาทุกที ใจมันคิดแต่ว่า
เราทำได้แค่นี้เองหรอ ทำได้แค่ใส่บาตร ใส่อาหารขนมที่แป้งชอบ
แป้งจะได้รับหรือเปล่า ก็ไม่รู้
ตอนอ้วนอยู่ ตอนอ้วนไม่สบาย อยากกินอะไร ก็กินไม่ได้
แรกๆที่แป้งตาย แม่ฉันพาไปวัด พาไปทำบุญให้แป้ง
และคงอยากให้ฉันสงบจิตสงบใจให้ได้
แต่ฉันกลับไปนั่งร้องไห้ ต่อหน้าพระ โดยไม่อายใคร
จนพระต้องบอกว่า " พูดอะไรไปตอนนี้ เค้าก็คงไม่เข้าใจ เค้าก็คงฟังอะไรไม่รุ้เรื่อง"
คงเป็นเพราะว่าฉันร้องมาเยอะแล้วก็ได้ หรือว่าไม่อยากให้แป้งเห็นน้ำตา ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ
น้าฉันเสียอีก ที่เป็นคนพยุงฉันขึ้นไป กลับเป็นคนร้องไห้เสียเอง เมื่อเค้าเปิดฝาโลงออกมา
น้าฉันจับมือฉันไปเคาะที่โลง แล้วพูดว่า แป้งไม่ต้องห่วงนกนะ
แต่ฉันรู้ว่า แป้งคงทำไม่ได้หรอก แป้งต้องห่วงฉันแน่นอน
ฉันที่เป็นคนไม่เอาไหน ทำอะไรก็ไม่เป็น พึ่งพาแป้งตลอด
จะกินก๋วยเตี๋ยว แป้งยังต้องปรุงให้เลย เพราะฉันปรุงไม่อร่อย
เพิ่งจะมาช่วงที่แป้งป่วยนี่หรอก ทำให้ฉันต้องมาช่วยตัวเอง
เพราะฉันต้องเป็นที่พึ่งให้แป้งบ้าง ตอนแป้งไม่สบาย
ช่วงที่ฉันขับรถไปเยี่ยมแป้งทุกวันที่ศิริราช
แป้งเคยพูดว่า "แห้งกินข้าวเยอะๆนะ เด๋วไม่สบาย ถ้าแห้งเป้นอะไรไปอีกคน ใครจะดูแลอ้วน"
เวลาเราคุยกัน ฉันจะเรียกแป้งว่าอ้วน ส่วนแป้งจะเรียกฉันว่าแห้ง
จนติดปากมาตลอด จนกลายจนชื่อของเราสองคนไปแล้ว
อ้วน แห้งกินข้าวเยอะแล้ว ทำไม่อ้วนไม่ยอมอยู่ให้แห้งดูแลต่อ ทำไมต้องทิ้งกันไปด้วย
ฉันไม่เคยฝันถึงแป้งเลย แป้งไม่เคยมาหาเลย
แป้งคงคิดว่าฉันจะกลัว กลัวหรือเปล่าไม่รู้นะอ้วน
รู้แต่ว่า คิดถึงอ้วนนะ
ทุกคนในบ้าน เป็นห่วงฉันมาก กลัวฉันคิดมาก และทำอะไรลงไป
แม่และพี่สาว คอยเดินเข้าเดินออกที่ห้อง เพื่อดูฉันบ่อยๆ
แต่ละวันผ่านไป โดยที่ฉันพึ่งยานอนหลับ เพื่อให้มันหลับๆไป
ถ้าไม่หลับ ก็จะร้องไห้ อยู่แค่นี้
ทุกครั้งที่ไปใส่บาตรให้แป้ง เวลาไปใส่บาตร เวลาที่พระให้พร
น้ำตามันก็จะไหลออกมาทุกที ใจมันคิดแต่ว่า
เราทำได้แค่นี้เองหรอ ทำได้แค่ใส่บาตร ใส่อาหารขนมที่แป้งชอบ
แป้งจะได้รับหรือเปล่า ก็ไม่รู้
ตอนอ้วนอยู่ ตอนอ้วนไม่สบาย อยากกินอะไร ก็กินไม่ได้
แรกๆที่แป้งตาย แม่ฉันพาไปวัด พาไปทำบุญให้แป้ง
และคงอยากให้ฉันสงบจิตสงบใจให้ได้
แต่ฉันกลับไปนั่งร้องไห้ ต่อหน้าพระ โดยไม่อายใคร
จนพระต้องบอกว่า " พูดอะไรไปตอนนี้ เค้าก็คงไม่เข้าใจ เค้าก็คงฟังอะไรไม่รุ้เรื่อง"
ไปสุ่สุขคตินะ
แป้งจากฉันไปในวันที่ 24กพ.52 เหตุการณ์ผ่านมาเกือบปีแล้ว
แต่ภาพในวันนั้นยังติดตา จำได้จนถึงวันนี้ ไม่เคยลืม
ภาพที่แป้งโดนพยาบาลช่วยกันปั้มหัวใจ ภาพที่แป้งนอนแน่นิ่ง
แป้งเคยบอกว่า จะอยุ่กับฉันไปจนแก่ แต่แป้งก็มาทิ้งฉันไปก่อน
ฉันเข้าไปดูร่างแป้ง หน้าแป้งอีกครั้ง
ก่อนจะรีบออกมาจากห้อง เพราะทนอยู่ต่อไปไม่ไหว
แม่ฉันโทรมาถามด้วยความห่วงใย และถามว่าฉันจะขับรถกลับได้ยังไง
จะให้น้องชายขับไปรับมั๊ย ฉันบอกไม่เป็นไร
แม่บอกให้รีบกลับมาก่อน เพราะมึดค่ำแล้ว เด๋วขับรถเป็นอะไรไปอีกคน
ฉันขับรถกลับมา โดยไม่ร่ำลา ไม่บอกพ่อแม่แป้งซักคำ
ระหว่างทางก็ร้องไห้ไปตลอด ทำไมแป้งต้องมาจากไป ต่อไปจะอยู่ยังไง
ขับไปได้ครึ่งทาง ก็โทรให้น้องขับมารับต่อ เพราะไปไม่ไหวแล้ว
ทุกคนในรถไม่มีใครพูดอะไร ฉันนั่งหลับตา น้ำตาไหลตลอดจนถึงบ้าน
แม่ฉันบอกว่าจะมานอนเป็นเพื่อน ฉันบอกว่าไม่เป็นไร อยากอยู่คนเดียว
คืนนั้นต้องพีึ่งยานอนหลับ และใช้มันมาตลอดอีกหลายเดือน
ฉันไปฟังพระสวด ทุกคืน
ไม่เคยคิดเลย ว่าจะได้มางานศพคนที่เรารัก โลกนี้มันโหดร้ายนัก
ไม่อยากโทษรพ.ที่เอาหมอเวรมาอยู่ห้องไอซียู
หมอที่อยุ่ในวันนั้นยังเด็กมาก ถ้าเป็นหมอที่เชี่ยวชาญกว่านี้ แป้งอาจไม่ตายก็ได้
ในวันเผาแป้ง ครอบครัวฉันไปกันทั้งหมด 10คน
เพราะฉันคบกันแป้งมาหลายปี เกือบ7ปีได้
ทุกคนในครอบครัวรู้จักแป้ง และสนิทกับแป้งหมดทุกคน
ในวันเผา แม่แป้งให้ฉันเป็นคนถือรูปแป้ง
ฉันเดินร้องไห้น้ำตานองหน้าตลอดเวลาที่ถือรูป
ก่อนเผา ฉันขึ้นไปดูแป้งอีกเป้นครั้งสุดท้าย
แป้งอยู่ในชุดกางเกงตัวโปรด แต่เสื้อเนี่ยซิ
ฉันจำได้ แป้งเคยบอกว่า ไม่ได้ชอบตัวนี้เท่าไหร่ แต่แม่แป้งชอบให้แป้งใส่
แม้กระทั่งวันตาย แป้งก็ยังไม่ได้ใส่เสื้อตัวที่แป้งชอบเลย
คนหมอคนสวยมางานศพแป้งด้วยนะ
และก็ขึ้นไปดูแป้งเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนกัน
ภาพสุดท้ายของแป้ง เป็นภาพที่แป้งนอนอมเหรียญบาทอยู่ในโลง
คนเราสุดท้ายแล้ว ก็แค่นี้เอง
ไปสู่สุขคตินะอ้วน รักเสมอ
แต่ภาพในวันนั้นยังติดตา จำได้จนถึงวันนี้ ไม่เคยลืม
ภาพที่แป้งโดนพยาบาลช่วยกันปั้มหัวใจ ภาพที่แป้งนอนแน่นิ่ง
แป้งเคยบอกว่า จะอยุ่กับฉันไปจนแก่ แต่แป้งก็มาทิ้งฉันไปก่อน
ฉันเข้าไปดูร่างแป้ง หน้าแป้งอีกครั้ง
ก่อนจะรีบออกมาจากห้อง เพราะทนอยู่ต่อไปไม่ไหว
แม่ฉันโทรมาถามด้วยความห่วงใย และถามว่าฉันจะขับรถกลับได้ยังไง
จะให้น้องชายขับไปรับมั๊ย ฉันบอกไม่เป็นไร
แม่บอกให้รีบกลับมาก่อน เพราะมึดค่ำแล้ว เด๋วขับรถเป็นอะไรไปอีกคน
ฉันขับรถกลับมา โดยไม่ร่ำลา ไม่บอกพ่อแม่แป้งซักคำ
ระหว่างทางก็ร้องไห้ไปตลอด ทำไมแป้งต้องมาจากไป ต่อไปจะอยู่ยังไง
ขับไปได้ครึ่งทาง ก็โทรให้น้องขับมารับต่อ เพราะไปไม่ไหวแล้ว
ทุกคนในรถไม่มีใครพูดอะไร ฉันนั่งหลับตา น้ำตาไหลตลอดจนถึงบ้าน
แม่ฉันบอกว่าจะมานอนเป็นเพื่อน ฉันบอกว่าไม่เป็นไร อยากอยู่คนเดียว
คืนนั้นต้องพีึ่งยานอนหลับ และใช้มันมาตลอดอีกหลายเดือน
ฉันไปฟังพระสวด ทุกคืน
ไม่เคยคิดเลย ว่าจะได้มางานศพคนที่เรารัก โลกนี้มันโหดร้ายนัก
ไม่อยากโทษรพ.ที่เอาหมอเวรมาอยู่ห้องไอซียู
หมอที่อยุ่ในวันนั้นยังเด็กมาก ถ้าเป็นหมอที่เชี่ยวชาญกว่านี้ แป้งอาจไม่ตายก็ได้
ในวันเผาแป้ง ครอบครัวฉันไปกันทั้งหมด 10คน
เพราะฉันคบกันแป้งมาหลายปี เกือบ7ปีได้
ทุกคนในครอบครัวรู้จักแป้ง และสนิทกับแป้งหมดทุกคน
ในวันเผา แม่แป้งให้ฉันเป็นคนถือรูปแป้ง
ฉันเดินร้องไห้น้ำตานองหน้าตลอดเวลาที่ถือรูป
ก่อนเผา ฉันขึ้นไปดูแป้งอีกเป้นครั้งสุดท้าย
แป้งอยู่ในชุดกางเกงตัวโปรด แต่เสื้อเนี่ยซิ
ฉันจำได้ แป้งเคยบอกว่า ไม่ได้ชอบตัวนี้เท่าไหร่ แต่แม่แป้งชอบให้แป้งใส่
แม้กระทั่งวันตาย แป้งก็ยังไม่ได้ใส่เสื้อตัวที่แป้งชอบเลย
คนหมอคนสวยมางานศพแป้งด้วยนะ
และก็ขึ้นไปดูแป้งเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนกัน
ภาพสุดท้ายของแป้ง เป็นภาพที่แป้งนอนอมเหรียญบาทอยู่ในโลง
คนเราสุดท้ายแล้ว ก็แค่นี้เอง
ไปสู่สุขคตินะอ้วน รักเสมอ
ไม่มีปาฏิหารย์
ถึงจะต้องมานอนต่อที่รพ.ที่บ้านแต่แป้งก็ดีใจมากที่จะได้กลับบ้านแล้ว
ฉันเข้าใจความรุ้สึกแป้งดี ถ้าเป็นฉันๆคงไม่สามารถผ่านเรื่องร้ายๆขนาดนี้มาได้แน่เลย
ที่รพ.ที่บ้าน แป้งได้นอนห้องพิเศษ เพราะแค่มานอนฉีดยาแค่นั้นเอง
ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นหมอทางศิริราชจัดยากินมาให้แล้ว
ร่างกายแป้งตอบสนองดีกับยาฆ่าเชือตัวนี้ ทำให้ขาดูเหมือนจะยุบลงไปบ้าง
ใกล้จะครบกำหนด2อาิทิตย์ที่ให้ยา แป้งวางแผนว่า
ถ้าออกจากรพ.ครั้งนี้จะไปเที่ยวทะเล ฉันทั้งดีใจที่แป้งดีขึ้น
และดีใจกับแป้งที่จะได้กลับบ้านซะที
หลังจากออกจากรพ.วันแรก พวกเราก็พาแป้งไปกินหมูกะทะ
และพาไปกินร้านอาหารที่แป้งอยากกิน
และหัดให้แป้งเดิน เพราะแป้งไม่ได้เดินมาหลายเดือนมากตั้งแต่นอนรพ.
แรกๆก็ใช้ไม้เท้าเกาะไปก่อน จะไปไหนก้เอาไม้เท้าใส่รถไป
แป้งอายที่คนชอบมอง ฉันบอกว่าไม่ต้องไปสนใจ เราไม่สบายไม่ได้เป็นคนพิการซะหน่อย
พอแป้งเริ่มเดินได้บ้างโดยไม่ใช้ไม้เท้า แต่ยังคงต้องช่วยกันประคองๆไปก่อน
แล้วพวกเราก็พาแป้งไปทะเลที่บางแสน
แป้งอยากไปไหว้หลวงพ่อโสธรด้วย เราจึงแวะไหว้ก่อน
แล้วก็ไปบางแสน ซื้ออาหารทะเลมากินกันที่ชายทะเล
หลังจากนั้นก็มีนัดไปตรวจที่ศิริราช วันนั้นฉันไม่ได้ไปด้วยแป้งไปกับพ่อ
คุณหมอทุกคนที่รู้จักแป้ง ต่างดีใจและแปลกใจ
ที่เห้นแป้งเดินได้แล้ว ผลการตรวจร่างการทุกอย่างปกติ
แป้งยังเดินไปเยี่ยมพยาบาลที่ตึกประกันสังคมอีกต่างหาก
แป้งโทรมาเล่าให้ฟังว่าจะไปเดินเซ็นทรัลด้วย
คืนนั้นก่อนนอนแป้งโทรมาบอกว่าปวดขามากเลยวันนี้เดินทั้งวัน
คืนนั้นเราเลยไม่ได้คุยอะไรกันมาก
คืนนั้นฉันปิดโทรสับนอน
หลังจากตื่นขึ้นมาและเปิดโทรศัพท์มีเบอร์พ่อกับเบอร์แม่แป้งโทรเข้ามา
ฉันรีบโทรกลับ เพราะเอะใจ ว่าทำไมไม่มีเบอร์แป้ง
ฉันโทรกลับไปเสียงพ่อรับสาย
พ่อบอกว่า แป้งอยู่รพ.นะตอนนี้อยู่ห้อง icu หมอบอกอาการหนักมาก
อะไรกันอีกนี่ ฉันมือไม้สั่น ถามว่าแป้งเป็นอะไร
พ่อบอกว่าเมื่อเช้าแป้งเหนื่อยมาก หายใจไม่ไหว
เลยพามารพ. หมอบอกว่าความดันต่ำมากๆๆๆ อาจหลุดมือได้ตลอดเวลา
ฉันรีบขับรถไปหาแป้งที่รพ. ไปถึงตอนบ่าย2
ไม่ใช่เวลาเียี่ยม เค้าจะให้เยี่ยมได้ตอน 6โมงเย็น
พ่อแป้งพาฉันเข้าไป และขออนุญาติพยาบาลบอกว่า
ฉันเป็นเพื่อนแป้ง เพิ่งมาจากสระบุรี ขอเข้าไปหาแป้งหน่อย
พยาบาลบอกว่าคนไข้หลับอยุ่ ไม่อยากให้รบกวนเดี๋ยวจะเหนื่อย
ฉันเห็นแต่ข้างหลังแป้ง แป้งนั่งหลับ
แล้วฉันก็ออกมารออยู่ข้างนอก แต่ก็คอยเดินไปเดินมาคอยแอบดูแป้งตลอด
จนกระทั่งจะ 6โมงเย็นพวกเรานั่งรอเตรียมจะเข้าไปเยี่ยมแป้ง
พยาบาลเดินออกมาถามหาญาิติแป้ง
และบอกว่าตอนนี้คนไข้หายใจเองไม่ได้แล้ว หมอกำลังปั้มหัวใจอยู่
เราทุกคนกรูกันเข้าไปข้างใน
ภาพที่เห็นคือ พยาบาล2คนกำลังปั้มหัวใจแป้งอยู่
ร่างกายแป้งลอยขึ้นจากแรงกดกระแทก
แม่แป้งร้องไห้โฮเสียงดัง พ่อแป้งรีบต่อโทรศัพท์ไปหาคุณหมอคนสวย
ให้คุยกับหมอที่นี่ ฉันได้ยินแต่เพียงว่า หมอคนสวยบอกให้ปั้มหัวใจไปเรื่อยๆอย่าหยุดปั้ม
และคุยอะไรกับหมออีกไม่รู้ ฉันทนดูเห็นแป้งไม่ไหวแล้ว
ฉันออกมานอกห้อง รีบโทรหาพี่สาว บอกว่าแป้งแย่แล้ว ช่วยกันสวดมนต์ด้วย
นาทีนั้น ฉันไม่รู้จะหันไปพึ่งใครแล้ว ฉันออกมานั่งร้องไห้อยู่นอกห้อง
สลับกับเดินเข้าไปดู พยาบาลยังคงปั้มหัวใจแป้งกันอยู่
ผ่านไปเกือบครึ่งชม. หมอมาบอกพ่อว่าขออนุญาติหยุดปั้มนะ
นาทีนั้นเหมือนทุกอย่างจบลงแล้ว คนที่ฉันรักที่สุดได้จากไปแล้ว
ฉันเข้าใจความรุ้สึกแป้งดี ถ้าเป็นฉันๆคงไม่สามารถผ่านเรื่องร้ายๆขนาดนี้มาได้แน่เลย
ที่รพ.ที่บ้าน แป้งได้นอนห้องพิเศษ เพราะแค่มานอนฉีดยาแค่นั้นเอง
ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นหมอทางศิริราชจัดยากินมาให้แล้ว
ร่างกายแป้งตอบสนองดีกับยาฆ่าเชือตัวนี้ ทำให้ขาดูเหมือนจะยุบลงไปบ้าง
ใกล้จะครบกำหนด2อาิทิตย์ที่ให้ยา แป้งวางแผนว่า
ถ้าออกจากรพ.ครั้งนี้จะไปเที่ยวทะเล ฉันทั้งดีใจที่แป้งดีขึ้น
และดีใจกับแป้งที่จะได้กลับบ้านซะที
หลังจากออกจากรพ.วันแรก พวกเราก็พาแป้งไปกินหมูกะทะ
และพาไปกินร้านอาหารที่แป้งอยากกิน
และหัดให้แป้งเดิน เพราะแป้งไม่ได้เดินมาหลายเดือนมากตั้งแต่นอนรพ.
แรกๆก็ใช้ไม้เท้าเกาะไปก่อน จะไปไหนก้เอาไม้เท้าใส่รถไป
แป้งอายที่คนชอบมอง ฉันบอกว่าไม่ต้องไปสนใจ เราไม่สบายไม่ได้เป็นคนพิการซะหน่อย
พอแป้งเริ่มเดินได้บ้างโดยไม่ใช้ไม้เท้า แต่ยังคงต้องช่วยกันประคองๆไปก่อน
แล้วพวกเราก็พาแป้งไปทะเลที่บางแสน
แป้งอยากไปไหว้หลวงพ่อโสธรด้วย เราจึงแวะไหว้ก่อน
แล้วก็ไปบางแสน ซื้ออาหารทะเลมากินกันที่ชายทะเล
หลังจากนั้นก็มีนัดไปตรวจที่ศิริราช วันนั้นฉันไม่ได้ไปด้วยแป้งไปกับพ่อ
คุณหมอทุกคนที่รู้จักแป้ง ต่างดีใจและแปลกใจ
ที่เห้นแป้งเดินได้แล้ว ผลการตรวจร่างการทุกอย่างปกติ
แป้งยังเดินไปเยี่ยมพยาบาลที่ตึกประกันสังคมอีกต่างหาก
แป้งโทรมาเล่าให้ฟังว่าจะไปเดินเซ็นทรัลด้วย
คืนนั้นก่อนนอนแป้งโทรมาบอกว่าปวดขามากเลยวันนี้เดินทั้งวัน
คืนนั้นเราเลยไม่ได้คุยอะไรกันมาก
คืนนั้นฉันปิดโทรสับนอน
หลังจากตื่นขึ้นมาและเปิดโทรศัพท์มีเบอร์พ่อกับเบอร์แม่แป้งโทรเข้ามา
ฉันรีบโทรกลับ เพราะเอะใจ ว่าทำไมไม่มีเบอร์แป้ง
ฉันโทรกลับไปเสียงพ่อรับสาย
พ่อบอกว่า แป้งอยู่รพ.นะตอนนี้อยู่ห้อง icu หมอบอกอาการหนักมาก
อะไรกันอีกนี่ ฉันมือไม้สั่น ถามว่าแป้งเป็นอะไร
พ่อบอกว่าเมื่อเช้าแป้งเหนื่อยมาก หายใจไม่ไหว
เลยพามารพ. หมอบอกว่าความดันต่ำมากๆๆๆ อาจหลุดมือได้ตลอดเวลา
ฉันรีบขับรถไปหาแป้งที่รพ. ไปถึงตอนบ่าย2
ไม่ใช่เวลาเียี่ยม เค้าจะให้เยี่ยมได้ตอน 6โมงเย็น
พ่อแป้งพาฉันเข้าไป และขออนุญาติพยาบาลบอกว่า
ฉันเป็นเพื่อนแป้ง เพิ่งมาจากสระบุรี ขอเข้าไปหาแป้งหน่อย
พยาบาลบอกว่าคนไข้หลับอยุ่ ไม่อยากให้รบกวนเดี๋ยวจะเหนื่อย
ฉันเห็นแต่ข้างหลังแป้ง แป้งนั่งหลับ
แล้วฉันก็ออกมารออยู่ข้างนอก แต่ก็คอยเดินไปเดินมาคอยแอบดูแป้งตลอด
จนกระทั่งจะ 6โมงเย็นพวกเรานั่งรอเตรียมจะเข้าไปเยี่ยมแป้ง
พยาบาลเดินออกมาถามหาญาิติแป้ง
และบอกว่าตอนนี้คนไข้หายใจเองไม่ได้แล้ว หมอกำลังปั้มหัวใจอยู่
เราทุกคนกรูกันเข้าไปข้างใน
ภาพที่เห็นคือ พยาบาล2คนกำลังปั้มหัวใจแป้งอยู่
ร่างกายแป้งลอยขึ้นจากแรงกดกระแทก
แม่แป้งร้องไห้โฮเสียงดัง พ่อแป้งรีบต่อโทรศัพท์ไปหาคุณหมอคนสวย
ให้คุยกับหมอที่นี่ ฉันได้ยินแต่เพียงว่า หมอคนสวยบอกให้ปั้มหัวใจไปเรื่อยๆอย่าหยุดปั้ม
และคุยอะไรกับหมออีกไม่รู้ ฉันทนดูเห็นแป้งไม่ไหวแล้ว
ฉันออกมานอกห้อง รีบโทรหาพี่สาว บอกว่าแป้งแย่แล้ว ช่วยกันสวดมนต์ด้วย
นาทีนั้น ฉันไม่รู้จะหันไปพึ่งใครแล้ว ฉันออกมานั่งร้องไห้อยู่นอกห้อง
สลับกับเดินเข้าไปดู พยาบาลยังคงปั้มหัวใจแป้งกันอยู่
ผ่านไปเกือบครึ่งชม. หมอมาบอกพ่อว่าขออนุญาติหยุดปั้มนะ
นาทีนั้นเหมือนทุกอย่างจบลงแล้ว คนที่ฉันรักที่สุดได้จากไปแล้ว
icu
กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนป่วยที่ต้องนอนรพ.นานๆ
ทุกครั้งที่ฉันเข้าไปเยี่ยมแป้งที่รพ.ศิริราช ฉันจะซื้อของกินอร่อยๆที่แป้งชอบไปเยี่ยมแป้งเสมอ
การชวนแป้งคุยถึงอาหาร,ของกิน ทำให้แป้งลืมเรื่องโรคร้ายๆที่กำลังเป็นอยู่ไปได้บ้าง
หมอยังคงไม่รู้ว่าแป้งเป็นโรคอะไร
แป้งมีอาการเหนื่อย หายใจไม่ค่อยสะดวกด้วย
จึงต้องใส่หน้ากากช่วยหายใจเป็นบางเวลาที่เหนื่อยมากๆ
แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาอีก
ฉันจำได้ดี วันนั้นเป็นวันสงกรานต์ ฉันนัดกับแป้งแล้วว่าจะไปหาในวันนี้
แต่ยังไม่ทันจะออกจากบ้าน แม่แป้งโทรมาร้องไห้ไปด้วยบอกว่า
ตอนนี้แป้งอยุ่ห้อง icu หมอกำลังปั๊มหัวใจกันอยุ่ ให้ฉันรีบมา
ฉันบอกแม่ฉันว่า แป้งเข้าไอซียู แม่ฉันเป็นห่วงฉันมาก
กลัวฉันจะขับรถไม่ได้ แต่ฉันไม่สนใจอะไรแล้ว
ฉันรีบขับรถไป ในขณะที่ขับก็สวดมนต์ภาวนาไปตลอดทางว่าแป้งต้องปลอดภัย
ฉันไปถึงห้องไอซียูเห็นแม่กับพ่อแป้งนั่งรออยู่หน้าห้อง
พ่อแป้งบอกว่า เจ้าหน้าที่เข็นแป้งออกไปไหนไม่รู้ยังไม่มาเลย
ซักพักฉันก็เห็นแป้งนอนหลับตาอยุ่บนเตียงมีบุรุษพยาบาลเ็ข็นเข้ามาในห้องicu
ที่ปากแป้งมีเลือดไหลออกมา จากการใส่เครื่องช่วยหายใจ
แม่แป้งเล่าให้ฟังว่าเมื่อเช้ามีหมอเวรเข้ามาตรวจ
แล้วก็บอกให้แป้งลองถอดหน้ากากหายใจดู เพื่อจะวัดค่าออกซิเจนในเลือด
แป้งบอกว่าถอดได้แป๊บเดียว เพราะเหนื่อยมาก
แต่หมอจะให้ลองถอดให้ได้ จนแป้งไม่ไหว หยุดหายใจไป
จังหวะเดียวกับพี่คุณหมอคนสวยเข้ามาพอดี
คุณหมอเห็นเหตุการ์ณ์ จึงตะคอกใส่หมอเวรว่าถอดไปยังไง
แล้วก็ช่วยกันปั๊มหัวใจแป้งกันเป้นการใหญ่
แม่แป้งบอกว่า คุณพ่อคนสวยพูดบอกแป้งตลอดเวลาที่ปั้มหัวใจ
ว่าแป้งนึกถึงแม่ไว้นะแป้ง แล้วเค้าก็พาแป้งมาที่ห้องไอซียู
หมอที่ไอซียูบอกว่า 50-50 ให้ทำใจด้วย
แล้วก็อนุญาติให้เราเข้าไปเียี่ยมแป้งได้ในห้องไอซียู
สภาพแป้งตอนนี้คือ ที่ปากใส่เครื่องช่วยหายใจ ไม่สามารถพูดได้
ฉันแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่ไม่อยากร้องไห้ให้แป้งเห็น
ที่ห้องไอซียูให้เยี่ยมได้ถึงแค่สองทุ่ม
ในระหว่างที่แป้งอยู่ไอซียูนี้ ฉันขับรถไปกลับกรุงเทพ สระบุรี ทุกวัน
เป็นเวลาเดือนกว่าๆ ที่แป้งอยู่ในไอซียู ถ้าฉันกลับบ้าน
เราจะส่ง แมดเสดคุยกัน แทนการคุยโทสับ
สถานที่ไหนศักดิ์สิทธิ์ดังๆ ฉันไปบนมาหมดแล้ว
จนอาการแป้งเริ่มค่อยๆดีขึ้น ดีในที่นี่คือสามารถถอดเครื่องช่วยหายใจได้
ไม่ได้รวมถึงอาการของโรคที่แป้งเป็นอยู่
พอแป้งถอดเครื่องช่วยหายใจได้ จึงย้ายกลับตึกเดิม
หมอจึงทำการรักษาโรคที่แป้งเป้นอยู่กันต่อ
ออกจากไอซียู ก็มานอนที่ตึกประกันสังคมต่ออีกเกือบสองอาทิตย์
ลิ่มเลือดที่ขาเริ่มดีขึ้น ขาเริ่มยุบลง
คุณหมอจึงให้กลับไปนอนรักษาต่อที่รพ.ที่บ้านแป้ง
โดยแป้งจะต้องไปนอนให้ยาฆ่าเชื้อต่ออีก 1เดือน
สรุปว่าแป้งได้ออกจากศิริราชแต่ต้องไปนอนรพ.แถวบ้านต่ออีก
ทุกครั้งที่ฉันเข้าไปเยี่ยมแป้งที่รพ.ศิริราช ฉันจะซื้อของกินอร่อยๆที่แป้งชอบไปเยี่ยมแป้งเสมอ
การชวนแป้งคุยถึงอาหาร,ของกิน ทำให้แป้งลืมเรื่องโรคร้ายๆที่กำลังเป็นอยู่ไปได้บ้าง
หมอยังคงไม่รู้ว่าแป้งเป็นโรคอะไร
แป้งมีอาการเหนื่อย หายใจไม่ค่อยสะดวกด้วย
จึงต้องใส่หน้ากากช่วยหายใจเป็นบางเวลาที่เหนื่อยมากๆ
แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาอีก
ฉันจำได้ดี วันนั้นเป็นวันสงกรานต์ ฉันนัดกับแป้งแล้วว่าจะไปหาในวันนี้
แต่ยังไม่ทันจะออกจากบ้าน แม่แป้งโทรมาร้องไห้ไปด้วยบอกว่า
ตอนนี้แป้งอยุ่ห้อง icu หมอกำลังปั๊มหัวใจกันอยุ่ ให้ฉันรีบมา
ฉันบอกแม่ฉันว่า แป้งเข้าไอซียู แม่ฉันเป็นห่วงฉันมาก
กลัวฉันจะขับรถไม่ได้ แต่ฉันไม่สนใจอะไรแล้ว
ฉันรีบขับรถไป ในขณะที่ขับก็สวดมนต์ภาวนาไปตลอดทางว่าแป้งต้องปลอดภัย
ฉันไปถึงห้องไอซียูเห็นแม่กับพ่อแป้งนั่งรออยู่หน้าห้อง
พ่อแป้งบอกว่า เจ้าหน้าที่เข็นแป้งออกไปไหนไม่รู้ยังไม่มาเลย
ซักพักฉันก็เห็นแป้งนอนหลับตาอยุ่บนเตียงมีบุรุษพยาบาลเ็ข็นเข้ามาในห้องicu
ที่ปากแป้งมีเลือดไหลออกมา จากการใส่เครื่องช่วยหายใจ
แม่แป้งเล่าให้ฟังว่าเมื่อเช้ามีหมอเวรเข้ามาตรวจ
แล้วก็บอกให้แป้งลองถอดหน้ากากหายใจดู เพื่อจะวัดค่าออกซิเจนในเลือด
แป้งบอกว่าถอดได้แป๊บเดียว เพราะเหนื่อยมาก
แต่หมอจะให้ลองถอดให้ได้ จนแป้งไม่ไหว หยุดหายใจไป
จังหวะเดียวกับพี่คุณหมอคนสวยเข้ามาพอดี
คุณหมอเห็นเหตุการ์ณ์ จึงตะคอกใส่หมอเวรว่าถอดไปยังไง
แล้วก็ช่วยกันปั๊มหัวใจแป้งกันเป้นการใหญ่
แม่แป้งบอกว่า คุณพ่อคนสวยพูดบอกแป้งตลอดเวลาที่ปั้มหัวใจ
ว่าแป้งนึกถึงแม่ไว้นะแป้ง แล้วเค้าก็พาแป้งมาที่ห้องไอซียู
หมอที่ไอซียูบอกว่า 50-50 ให้ทำใจด้วย
แล้วก็อนุญาติให้เราเข้าไปเียี่ยมแป้งได้ในห้องไอซียู
สภาพแป้งตอนนี้คือ ที่ปากใส่เครื่องช่วยหายใจ ไม่สามารถพูดได้
ฉันแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่ไม่อยากร้องไห้ให้แป้งเห็น
ที่ห้องไอซียูให้เยี่ยมได้ถึงแค่สองทุ่ม
ในระหว่างที่แป้งอยู่ไอซียูนี้ ฉันขับรถไปกลับกรุงเทพ สระบุรี ทุกวัน
เป็นเวลาเดือนกว่าๆ ที่แป้งอยู่ในไอซียู ถ้าฉันกลับบ้าน
เราจะส่ง แมดเสดคุยกัน แทนการคุยโทสับ
สถานที่ไหนศักดิ์สิทธิ์ดังๆ ฉันไปบนมาหมดแล้ว
จนอาการแป้งเริ่มค่อยๆดีขึ้น ดีในที่นี่คือสามารถถอดเครื่องช่วยหายใจได้
ไม่ได้รวมถึงอาการของโรคที่แป้งเป็นอยู่
พอแป้งถอดเครื่องช่วยหายใจได้ จึงย้ายกลับตึกเดิม
หมอจึงทำการรักษาโรคที่แป้งเป้นอยู่กันต่อ
ออกจากไอซียู ก็มานอนที่ตึกประกันสังคมต่ออีกเกือบสองอาทิตย์
ลิ่มเลือดที่ขาเริ่มดีขึ้น ขาเริ่มยุบลง
คุณหมอจึงให้กลับไปนอนรักษาต่อที่รพ.ที่บ้านแป้ง
โดยแป้งจะต้องไปนอนให้ยาฆ่าเชื้อต่ออีก 1เดือน
สรุปว่าแป้งได้ออกจากศิริราชแต่ต้องไปนอนรพ.แถวบ้านต่ออีก
เจ็บที่สุดในชีวิต
เรามองหน้ากัน ฉันจึงพูดขึ้นว่า ลงไปถามหมอดีกว่าว่ามาชั้นผิดหรือเปล่า
ฉันกลับลงไปใหม่ เจอพยาบาลคนเดิม จึงเข้าไปถามว่าจะขอคุยกับคุณหมอเกี่ยวกับคนไข้เมื่อกี้
พยาบาลถามว่า หมอไม่ได้บอกเหรอ ฉันบอกว่าเปล่า
พยาบาลจึงให้ฉันเข้าไปคุยกับคุณหมอ
ฉันถามหมอเกี่ยวกับผลเจาะไขกระดูกว่าแป้งเป็นอะไร ทำไมถึงต้องไปให้คีโม
คุณหมอบอกว่า ผลเจาะไขกระดูกก็ไม่พบเชื้อมะเร็ง
แต่ก้อนที่คอบวมมาก ถ้าปล่อยไว้จะเป็นอันตราย
การให้คีโมจะทำให้ก้อนยุบ
อย่างน้อยๆก็โล่งใจไปได้หน่อยนึงที่แป้งไม่ได้เป็นมะเร็ง
แป้งให้ฉันโทรไปบอกพ่อแป้งว่าต้องให้คีโม
ฉันก็เล่าให้พ่อแป้งฟังตามที่หมอพูดมาทั้งหมด
แต่พ่อก็ยังสงสัยอยู่ว่า ถ้าไม่เป็นมะเร็งทำไมต้องให้คีโม
หมอเค้าเห็นเราสองคนเป็นเด็กหรือเปล่า เค้าเลยไม่กล้าพูดความจริง
ฉันยืนยันว่าหมอพูดว่าไม่พบเชื้อมะเร็งอย่างแน่นอน
แล้วเราสองคนก็ไม่ใช่เด็กขนาดที่ว่าจะต้องปิดบัง
ฉันก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกว่าการให้คีโม เค้าให้กันแบบนี้นี่เอง
เหมือนไปนอนให้น้ำเกลือเลย
ภายในห้องจะมีเตียงอย่างดีและเครื่องไม้เครื่องมือ
ในห้องนี้ทุกคนคงเป็นมะเร็ง บางคนผมร่วง บางคนยังไม่แสดงอาการอะไร
แป้งขึ้นไปนอนบนเตียง พยาบาลนำยามาฉีดใส่แขน
แล้วรอเวลาให้ยาหมดขวด ก้เป็นอันเสร็จสิ้นการทำคีโมในแต่ละครั้ง
ไม่ได้มีอาการทรมาน หรือเจ็บปวดใดๆทั้งสิ้น
แต่ผลข้างเคียงของมันต่างหาก ที่สุดแสนจะทรมาน
ใครทนไม่ได้ ใครผ่านมันไปไม่ได้ ก็จบสิ้นกัน
หมอบอกว่าแป้งต้องมาให้คีโม 6ครั้ง
คุณหมออธิบายถึงผลข้างเคียงว่ามีอะไรบ้าง
ให้เสร็จก็กลับบ้านได้ แต่ระหว่างที่อยู่บ้านถ้ามีอาการผิดปกติมากๆ
ให้รีบไปโรงพยาบลใกล้บ้านที่สุดก่อน
คืนแรกผ่านไปด้วยดี ยังไม่มีอาการใดๆเกิดขึ้น
คืนต่อมาแป้งเริ่มมีอาการเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน
เวลาหนาว แป้งก็หนาวจนตัวสั่นต้องห่มผ้าห่ม ทั้งๆที่อากาศร้อนมาก
พอหายหนาวเสร็จ แป้งก็กลับมาร้อนอีก
เริ่มมีไข้ตัวร้อน และคลื่นไส้อาเจียน
แป้งเริ่มกินข้าวไม่ได้ กินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมาหมด
จนอาการเริ่มมากขึ้นๆ แ้ป้งจึงโทรบอกให้พ่อมารับกลับบ้าน
แน่นอนว่า การอยุ่กับครอบครัว ในสถานการณ์แบบนี้ ต้องดีกว่าอยู่กับฉันอย่างแน่นอน
พ่อแป้งให้แม่แป้งกลับมาดูแลแป้ง เป็นจังหวะที่เด็กมหาลัยปิดเทอม
ร้านเน็ตจึงไม่ค่อยมีคนอยุ่แล้ว แม่แป้งจึงปิดร้านไว้ก่อนเพื่อมาดูแลแป้ง
ส่วนฉันยังคงไปเยี่ยมแป้งอย่างสม่ำเสมอ บางทีก้ไปนอนค้างที่บ้านแป้ง
แป้งเริ่มผมร่วง ร่างกายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
แป้งให้คีโมมาจึงถึงเข็มที่ 3 ก้อนที่คอแป้งเริ่มมีหนองออกมา
พ่อแป้งจึงพาแป้งไปพบหมอที่ศิริราชก่อนนัด
เมื่อหมอคนที่สั่งให้คีโม เห็นแผลที่คอที่เริ่มจะมีหนองออกมา
หมอจึงสั่งยกเลิกการให้คีโมอีก 3เข็มที่เหลือ
โดยคุณหมอบอกแบบไม่ได้แสดงอาการตกใจหรือแสดงความผิดพลาดของตัวเองเลย
ว่า ถ้าเป็นมะเร็ง การให้คีโมจะไม่มีหนองออกมาจากก้อนเนื้อ
แต่นี่มีหนองออกมา แสดงว่าไม่ได้เป็น มันเป็นอาการของโรคติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างหนึ่ง
อืม. นะ ฉันคิดในใจ แป้งเจ็บตัวจากการผ่าตัดไป 3ครั้ง เจาะไขสันหลังก็แล้ว เจาะเลือดก็แล้ว
ผลมันก็ออกมาว่าไม่มีเชื้อมะเร็ง แต่หมอก็ยังดันทุรังที่จะให้คีโมแป้ง
โชคดีที่แป้งยังไม่เป็นอะไรไป ถ้าแป้งทนไม่ไหว ไม่ทนถึงเข็มที่3อะไรจะเกิดขึ้น
แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไรหมอ แล้วฉันจะไปมีสิทธิ์ไปว่าอะไรได้ล่ะ
แป้งถูกส่งให้ไปทำแผลที่คอที่ห้องผ่าตัดเล็ก
เรานั่งรอแป้งอยู่ด้านนอกกันเกือบครึ่งชม.
แป้งนั่งรถเข็น ร้องไห้ออกมา บอกว่าเจ็บมาก เจ็บที่สุดในชีวิต
หมอทำการเอาหนองที่คอ ฉันสงสารแป้งจับใจ
แป้งจะต้องเจ็บตัวอีกกี่ครั้ง ทำไมถึงไม่รู้ซักทีว่าแป้งเป็นโรคอะไร
หลังจากนั้นคุณหมอคนเดิมก็ไม่ได้มารักษาอีก
มีคุณหมอโรคเลือดคนใหม่มารักษาแป้งแทน แป้งเรียกว่า "คุณหมอคนสวย"
หมอคนสวย ก็สวยสมชืือ แถมยังดีกับแป้งทุกอย่าง
รักษาแป้งอย่างดี เป็นห่วงแป้งเสมือนแป้งเป็นลูกเลยทีเดียว
คุณหมอคนสวยเปลี่ยนแนวทางการรักษาอีกครั้ง
จนคอแป้งยุบ แต่แป้งยังคงต้องมาตรวจที่รพ.ทุกเดือน
เพราะมีอาการอื่นแทรกเข้ามาคือ ขาบวม เนื่องจากลิ่มเลือดอุดตัน
แป้งเข้าๆออกๆรพ.อยู่หลายปี ช่วงนี้แป้งจึงกลับมาอยู่บ้านแป้ง
ส่วนฉันกลับมาอยุ่คนเดียวอีกครั้ง แต่เข้าใจดีว่าสุขภาพแป้งไม่ดี
ไม่ควรอยู่ไกลบ้านอีกแล้ว ฉันยังคงไปๆมาๆระหว่างบ้านฉันกับบ้านแป้งเหมือนเดิม
อาทิตย์นึงไปค้างบ้านแป้ง3วัน บ้าง
ผ่านไปหลายเดือนจนวันหนึ่่งแป้งมีอาการหายใจไม่สะดวก
แป้งไปตรวจที่รพ.แถวบ้านก่อน แต่ที่รพ.จะส่งตัวมาที่ศิริราชให้
โดยแป้งนอนมาในรถโรงพยาบาล
ชีวิตในโรงพยาลของแป้งเริ่มขึ้นอีกครั้ง คุณหมอคนสวยสั่งแอดมิท
มีหมอจากโรคทางเดินหายใจ,ทางเดินอาหาร,และหมอเฉพาะทางอื่นๆมาตรวจแป้งอีกมากมาย
พบว่าน้ำในปอดรั่ว หมอทำการเจาะที่ท้องแป้งเพื่อให้น้ำออกมา
แป้งจะมีถุงผูกอยู่ทีท้อง และมีสายต่อลงขวดอีกที
น้ำจากปอดแป้งไหลมาออกมาเรื่อยๆ บางวันก็เยอะ บางวันก็น้อย
อาจารย์หมอจากทุกแผนก ผลัดเปลี่ยนกันมาดูแป้ง เหมือนเป็นเคสศึกษา
ว่าแป้งเป็นอะไรกันแน่ แป้งยังคงต้องนอนรพ.อีกไม่มีกำหนด
ฉันกลับลงไปใหม่ เจอพยาบาลคนเดิม จึงเข้าไปถามว่าจะขอคุยกับคุณหมอเกี่ยวกับคนไข้เมื่อกี้
พยาบาลถามว่า หมอไม่ได้บอกเหรอ ฉันบอกว่าเปล่า
พยาบาลจึงให้ฉันเข้าไปคุยกับคุณหมอ
ฉันถามหมอเกี่ยวกับผลเจาะไขกระดูกว่าแป้งเป็นอะไร ทำไมถึงต้องไปให้คีโม
คุณหมอบอกว่า ผลเจาะไขกระดูกก็ไม่พบเชื้อมะเร็ง
แต่ก้อนที่คอบวมมาก ถ้าปล่อยไว้จะเป็นอันตราย
การให้คีโมจะทำให้ก้อนยุบ
อย่างน้อยๆก็โล่งใจไปได้หน่อยนึงที่แป้งไม่ได้เป็นมะเร็ง
แป้งให้ฉันโทรไปบอกพ่อแป้งว่าต้องให้คีโม
ฉันก็เล่าให้พ่อแป้งฟังตามที่หมอพูดมาทั้งหมด
แต่พ่อก็ยังสงสัยอยู่ว่า ถ้าไม่เป็นมะเร็งทำไมต้องให้คีโม
หมอเค้าเห็นเราสองคนเป็นเด็กหรือเปล่า เค้าเลยไม่กล้าพูดความจริง
ฉันยืนยันว่าหมอพูดว่าไม่พบเชื้อมะเร็งอย่างแน่นอน
แล้วเราสองคนก็ไม่ใช่เด็กขนาดที่ว่าจะต้องปิดบัง
ฉันก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกว่าการให้คีโม เค้าให้กันแบบนี้นี่เอง
เหมือนไปนอนให้น้ำเกลือเลย
ภายในห้องจะมีเตียงอย่างดีและเครื่องไม้เครื่องมือ
ในห้องนี้ทุกคนคงเป็นมะเร็ง บางคนผมร่วง บางคนยังไม่แสดงอาการอะไร
แป้งขึ้นไปนอนบนเตียง พยาบาลนำยามาฉีดใส่แขน
แล้วรอเวลาให้ยาหมดขวด ก้เป็นอันเสร็จสิ้นการทำคีโมในแต่ละครั้ง
ไม่ได้มีอาการทรมาน หรือเจ็บปวดใดๆทั้งสิ้น
แต่ผลข้างเคียงของมันต่างหาก ที่สุดแสนจะทรมาน
ใครทนไม่ได้ ใครผ่านมันไปไม่ได้ ก็จบสิ้นกัน
หมอบอกว่าแป้งต้องมาให้คีโม 6ครั้ง
คุณหมออธิบายถึงผลข้างเคียงว่ามีอะไรบ้าง
ให้เสร็จก็กลับบ้านได้ แต่ระหว่างที่อยู่บ้านถ้ามีอาการผิดปกติมากๆ
ให้รีบไปโรงพยาบลใกล้บ้านที่สุดก่อน
คืนแรกผ่านไปด้วยดี ยังไม่มีอาการใดๆเกิดขึ้น
คืนต่อมาแป้งเริ่มมีอาการเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน
เวลาหนาว แป้งก็หนาวจนตัวสั่นต้องห่มผ้าห่ม ทั้งๆที่อากาศร้อนมาก
พอหายหนาวเสร็จ แป้งก็กลับมาร้อนอีก
เริ่มมีไข้ตัวร้อน และคลื่นไส้อาเจียน
แป้งเริ่มกินข้าวไม่ได้ กินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมาหมด
จนอาการเริ่มมากขึ้นๆ แ้ป้งจึงโทรบอกให้พ่อมารับกลับบ้าน
แน่นอนว่า การอยุ่กับครอบครัว ในสถานการณ์แบบนี้ ต้องดีกว่าอยู่กับฉันอย่างแน่นอน
พ่อแป้งให้แม่แป้งกลับมาดูแลแป้ง เป็นจังหวะที่เด็กมหาลัยปิดเทอม
ร้านเน็ตจึงไม่ค่อยมีคนอยุ่แล้ว แม่แป้งจึงปิดร้านไว้ก่อนเพื่อมาดูแลแป้ง
ส่วนฉันยังคงไปเยี่ยมแป้งอย่างสม่ำเสมอ บางทีก้ไปนอนค้างที่บ้านแป้ง
แป้งเริ่มผมร่วง ร่างกายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
แป้งให้คีโมมาจึงถึงเข็มที่ 3 ก้อนที่คอแป้งเริ่มมีหนองออกมา
พ่อแป้งจึงพาแป้งไปพบหมอที่ศิริราชก่อนนัด
เมื่อหมอคนที่สั่งให้คีโม เห็นแผลที่คอที่เริ่มจะมีหนองออกมา
หมอจึงสั่งยกเลิกการให้คีโมอีก 3เข็มที่เหลือ
โดยคุณหมอบอกแบบไม่ได้แสดงอาการตกใจหรือแสดงความผิดพลาดของตัวเองเลย
ว่า ถ้าเป็นมะเร็ง การให้คีโมจะไม่มีหนองออกมาจากก้อนเนื้อ
แต่นี่มีหนองออกมา แสดงว่าไม่ได้เป็น มันเป็นอาการของโรคติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างหนึ่ง
อืม. นะ ฉันคิดในใจ แป้งเจ็บตัวจากการผ่าตัดไป 3ครั้ง เจาะไขสันหลังก็แล้ว เจาะเลือดก็แล้ว
ผลมันก็ออกมาว่าไม่มีเชื้อมะเร็ง แต่หมอก็ยังดันทุรังที่จะให้คีโมแป้ง
โชคดีที่แป้งยังไม่เป็นอะไรไป ถ้าแป้งทนไม่ไหว ไม่ทนถึงเข็มที่3อะไรจะเกิดขึ้น
แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไรหมอ แล้วฉันจะไปมีสิทธิ์ไปว่าอะไรได้ล่ะ
แป้งถูกส่งให้ไปทำแผลที่คอที่ห้องผ่าตัดเล็ก
เรานั่งรอแป้งอยู่ด้านนอกกันเกือบครึ่งชม.
แป้งนั่งรถเข็น ร้องไห้ออกมา บอกว่าเจ็บมาก เจ็บที่สุดในชีวิต
หมอทำการเอาหนองที่คอ ฉันสงสารแป้งจับใจ
แป้งจะต้องเจ็บตัวอีกกี่ครั้ง ทำไมถึงไม่รู้ซักทีว่าแป้งเป็นโรคอะไร
หลังจากนั้นคุณหมอคนเดิมก็ไม่ได้มารักษาอีก
มีคุณหมอโรคเลือดคนใหม่มารักษาแป้งแทน แป้งเรียกว่า "คุณหมอคนสวย"
หมอคนสวย ก็สวยสมชืือ แถมยังดีกับแป้งทุกอย่าง
รักษาแป้งอย่างดี เป็นห่วงแป้งเสมือนแป้งเป็นลูกเลยทีเดียว
คุณหมอคนสวยเปลี่ยนแนวทางการรักษาอีกครั้ง
จนคอแป้งยุบ แต่แป้งยังคงต้องมาตรวจที่รพ.ทุกเดือน
เพราะมีอาการอื่นแทรกเข้ามาคือ ขาบวม เนื่องจากลิ่มเลือดอุดตัน
แป้งเข้าๆออกๆรพ.อยู่หลายปี ช่วงนี้แป้งจึงกลับมาอยู่บ้านแป้ง
ส่วนฉันกลับมาอยุ่คนเดียวอีกครั้ง แต่เข้าใจดีว่าสุขภาพแป้งไม่ดี
ไม่ควรอยู่ไกลบ้านอีกแล้ว ฉันยังคงไปๆมาๆระหว่างบ้านฉันกับบ้านแป้งเหมือนเดิม
อาทิตย์นึงไปค้างบ้านแป้ง3วัน บ้าง
ผ่านไปหลายเดือนจนวันหนึ่่งแป้งมีอาการหายใจไม่สะดวก
แป้งไปตรวจที่รพ.แถวบ้านก่อน แต่ที่รพ.จะส่งตัวมาที่ศิริราชให้
โดยแป้งนอนมาในรถโรงพยาบาล
ชีวิตในโรงพยาลของแป้งเริ่มขึ้นอีกครั้ง คุณหมอคนสวยสั่งแอดมิท
มีหมอจากโรคทางเดินหายใจ,ทางเดินอาหาร,และหมอเฉพาะทางอื่นๆมาตรวจแป้งอีกมากมาย
พบว่าน้ำในปอดรั่ว หมอทำการเจาะที่ท้องแป้งเพื่อให้น้ำออกมา
แป้งจะมีถุงผูกอยู่ทีท้อง และมีสายต่อลงขวดอีกที
น้ำจากปอดแป้งไหลมาออกมาเรื่อยๆ บางวันก็เยอะ บางวันก็น้อย
อาจารย์หมอจากทุกแผนก ผลัดเปลี่ยนกันมาดูแป้ง เหมือนเป็นเคสศึกษา
ว่าแป้งเป็นอะไรกันแน่ แป้งยังคงต้องนอนรพ.อีกไม่มีกำหนด
ให้คีโม
การผ่าตัดครั้งที่สองผ่านไปด้วยดี
ผลเลือดออกมาไม่พบเชื้อเหมือนเดิม
เมื่อผลตรวจเลือดตรงกันถึง 2ครั้ง คุณหมอจึงเจาะเลือดเพื่อหาสาเหตุอื่น
ผลสรุปออกมาว่า แป้งติดเชื้อในกระแสเลือด
และให้กลับบ้าน หลังจากนอนรพ.นานถึง 2อาทิตย์ หมอให้ยามาทาน และนัดอีกทุกเดือนๆ
หลังจากนั้นแป้งก็กลับมาอยู่กับฉันที่ร้านเกมส์ต่อ
และฉันเป็นคนขับรถพาแป้งไปขอนแก่นทุกเดือนๆเพื่อไปรับยา
แป้งกินยาอยู่นานเกือบ 6เดือน ก้อนที่คอก็ไม่ยุบ
พ่อแป้งจึงตัดสินใจย้ายรพ. พาแป้งมารักษาต่อที่รพ.ศิริราช
มาศิริราชครั้งนี้ แป้งกลัวที่จะต้องนอนรพ.อีก
ฉันปลอบใจว่า ไม่ได้นอนหรอก ศิริราชเป็นรพ.ใหญ่คนเยอะไม่มีเตียงหรอก
แป้งก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก อย่างมากหมอก็นัดให้มาตรวจใหม่
วันแรกที่ไปรพ.ศิริราช หมอที่นี่ไม่ดูประวัติเดิมที่เคยตรวจมาจากที่อื่น
จับแป้งตรวจใหม่หมดทุกอย่าง เหมือนมาเริ่มรักษากันใหม่
หมอที่ศิริราชให้นอนโรงพยาบาล เพื่อตรวจอาการ
แป้งหน้าเสีย เพราะต้องนอนห้องรวม
ฉันบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องกลัว ฉันจะอยู่เป็นเพื่อน
คืนนั้น ยังไม่มีห้องว่าง แป้งต้องนอนอยู่บนเตียง (แบบที่เข็นได้)
พยาบาลให้นอนรอห้องว่างอยู่หน้าห้องประกันสังคม
นอกจากแป้งเล้ว ก็มีคนไข้อีกเป็นสิบที่นอนรอห้องว่างอยุ่ตรงนี้
ดูไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะในห้องประกันสังคมมีหมอ พยาบาลเดินไปมาตลอดเวลา
พ่อแป้งอยู่เป็นเพื่อนแป้งจนถึงเกือบ 4ทุ่ม
แล้วกลับไปนอนที่โรงแรมแถวๆนั้น
ส่วนฉันโกหกพ่อแป้งว่าจะกลับไปนอนบ้านญาติแถวๆลาดพร้าว
และโทรไปโกหกแม่ฉันว่า ห้องรวมที่ศิริราชให้เฝ้าได้
แต่จริงๆแล้ว ฉันไม่ได้ไปไหนเลย หลังจากพ่อแป้งกลับไปแล้ว
ฉันบอกแป้งว่า จะไปนั่งเล่นนอนเล่น อยู่ตรงหน้าห้องจ่ายยา
อีกไม่กี่ชม.ก็เช้าแล้ว แป้งจะได้อุ่นใจว่ามีฉันอยู่ใกล้ๆ
ฉันเดินเลาะๆมาอีกตึกหนึ่ง ไปนั่งอยู่ตรงหน้าเค้าน์เต้อร์รับยา
มีญาติคนป่วยบางคน มาใช้ที่ตรงนี้นอน เหมือนที่ฉันกำลังจะทำ
แป้งคอยโทรมาหาเรื่อยๆ บอกว่าเป็นห่วงฉัน มันน่ากลัว
ฉันบอกไม่เป็นไรหรอก มีญาติคนป่วยเยอะ มีคนอยู่เป็นเพื่อนมากมาย
ฉันเลือกหาเก้าอี้ที่ว่างติดกัน 2ตัว เพื่อเหยียดขาและนอนลงไป
ด้วยความรู้สึกหลายอย่าง เสียงเจ้าหน้าที่ดังเป็นระยะๆ เพื่อเรียกชื่อคนมาจ่ายค่ายา
แทบไม่ได้หลับเลย จนเช้าต้องรีบลุกออกจากตรงนั้น
เพราะมีคนไข้มารอคิวรับบัตรตรวจกันตั้งแต่ตี 5
เช้าวันนั้นแป้งได้ย้ายเข้าไปนอนที่ตึกประกันสังคม เป็นห้องพิเศษรวม
มีคนป่วยอยุ่ประมาณ 4-5 คน แต่กั้นห้องเป็นสัดเป็นส่วน
ทำให้แป้งสบายใจขึ้นมานิดนึง เพราะแป้งกลัวมากที่จะได้นอนห้องรวม
แม่แป้งมาจากขอนแก่น เพื่อมานอนเฝ้าแป้ง
ยังไงแม่ลูกก็ตัดกันไม่ขาด ฉันเข้าใจดี
ช่วงเวลาแบบนี้ แป้งต้องการแม่ มากกว่าสิ่งอื่นใด
ที่ศิริราช แป้งได้อาจารย์หมอเป็นเจ้าของไข้
แป้งถูกตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง เจาะเลือดไปตรวจทุกโรคที่หมอสงสัย
แป้งถูกส่งไปตรวจที่แผนกโรคเลือดโดยตรง
ครั้งนี้แป้งนอนรพ.นานอีกเช่นเคย
ที่แผนกโรคเลือด คุณหมอเจาะเลือด และผ่าเอาก้อนที่คอไปตรวจใหม่อีกครั้ง
ก็ไม่พบเชื้อมะเร็งแต่อย่างใด คุณหมอขอเจาะไขสันหลังตรวจ เพื่อผลที่แน่นอน
ฉันยืนรอแป้งอยู่หน้าห้อง ที่มีม่านปิดไว้ แต่ก็มีรูโหว่พอให้เห็นได้บ้าง
สิ่งที่ฉันเห็นคือ มันเหมือนเป็นแท่งเหล็กแหลมๆยาวๆ ขึ้นลงตามจังหวะ
แต่ไม่เห็นแป้ง เวลาผ่านไปนานเหมือนกัน แป้งก็ออกมา
ฉันถามว่า เจ็บมั๊ย แต่บอกว่า เสียวมากกว่า
หลังจากกลับไปที่ห้องแล้ว แป้งเอาแผลที่หลังให้ดู
มันเป็นเพียงรูเล็กๆๆรูหนึ่่งเท่านั้นเอง ถึงจะรูเล็กแค่นั้นแต่มันถูกแทงลงไปในเนื้อเรา
แป้งคงเจ็บมาก ฉันก็ได้แต่ปลอบใจ ว่าอีกไม่นานคงได้กลับบ้าน
แล้วแป้งก็ได้กลับบ้านจริงๆ หมอนัดมาฟังผลเจาะไขสันหลังอีก 2อาทิตย์ต่อมา
ครั้งนี้แป้งนอนรพ.ไปอีก 1เดือนเต็มๆ
แม่แป้งกลับไปดูร้านที่ขอนแก่นต่อ ส่วนแป้งไปๆมาๆระหว่างบ้านแป้งกับบ้านฉัน
ถึงวันฟังผลไขกระดูก ฉันเป็นคนพาแป้งมารพ.
แป้งเข้าไปหาหมอข้างใน และเดินออกมารอข้างนอก
ฉันถามว่าผลว่างัย แป้งบอกว่า ไม่เห็นหมอว่ายังไง
ยังไม่ทันที่จะถามอะไรแป้งต่อ พยาบาลมาเรียกเรา2คนเข้าไป
พร้อมประวัติ และบอกให้ขึ้นไปให้ยา ชั้นบน
พยาบาลพูดว่า "ให้ยา" ฉันก็งง เหมือนกันว่าให้ยาอะไร
พอพาแป้งขึ้นไปชั้นบน หน้าห้องเขียนว่า "แผนกเคมีบำบัด"
ผลเลือดออกมาไม่พบเชื้อเหมือนเดิม
เมื่อผลตรวจเลือดตรงกันถึง 2ครั้ง คุณหมอจึงเจาะเลือดเพื่อหาสาเหตุอื่น
ผลสรุปออกมาว่า แป้งติดเชื้อในกระแสเลือด
และให้กลับบ้าน หลังจากนอนรพ.นานถึง 2อาทิตย์ หมอให้ยามาทาน และนัดอีกทุกเดือนๆ
หลังจากนั้นแป้งก็กลับมาอยู่กับฉันที่ร้านเกมส์ต่อ
และฉันเป็นคนขับรถพาแป้งไปขอนแก่นทุกเดือนๆเพื่อไปรับยา
แป้งกินยาอยู่นานเกือบ 6เดือน ก้อนที่คอก็ไม่ยุบ
พ่อแป้งจึงตัดสินใจย้ายรพ. พาแป้งมารักษาต่อที่รพ.ศิริราช
มาศิริราชครั้งนี้ แป้งกลัวที่จะต้องนอนรพ.อีก
ฉันปลอบใจว่า ไม่ได้นอนหรอก ศิริราชเป็นรพ.ใหญ่คนเยอะไม่มีเตียงหรอก
แป้งก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก อย่างมากหมอก็นัดให้มาตรวจใหม่
วันแรกที่ไปรพ.ศิริราช หมอที่นี่ไม่ดูประวัติเดิมที่เคยตรวจมาจากที่อื่น
จับแป้งตรวจใหม่หมดทุกอย่าง เหมือนมาเริ่มรักษากันใหม่
หมอที่ศิริราชให้นอนโรงพยาบาล เพื่อตรวจอาการ
แป้งหน้าเสีย เพราะต้องนอนห้องรวม
ฉันบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องกลัว ฉันจะอยู่เป็นเพื่อน
คืนนั้น ยังไม่มีห้องว่าง แป้งต้องนอนอยู่บนเตียง (แบบที่เข็นได้)
พยาบาลให้นอนรอห้องว่างอยู่หน้าห้องประกันสังคม
นอกจากแป้งเล้ว ก็มีคนไข้อีกเป็นสิบที่นอนรอห้องว่างอยุ่ตรงนี้
ดูไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะในห้องประกันสังคมมีหมอ พยาบาลเดินไปมาตลอดเวลา
พ่อแป้งอยู่เป็นเพื่อนแป้งจนถึงเกือบ 4ทุ่ม
แล้วกลับไปนอนที่โรงแรมแถวๆนั้น
ส่วนฉันโกหกพ่อแป้งว่าจะกลับไปนอนบ้านญาติแถวๆลาดพร้าว
และโทรไปโกหกแม่ฉันว่า ห้องรวมที่ศิริราชให้เฝ้าได้
แต่จริงๆแล้ว ฉันไม่ได้ไปไหนเลย หลังจากพ่อแป้งกลับไปแล้ว
ฉันบอกแป้งว่า จะไปนั่งเล่นนอนเล่น อยู่ตรงหน้าห้องจ่ายยา
อีกไม่กี่ชม.ก็เช้าแล้ว แป้งจะได้อุ่นใจว่ามีฉันอยู่ใกล้ๆ
ฉันเดินเลาะๆมาอีกตึกหนึ่ง ไปนั่งอยู่ตรงหน้าเค้าน์เต้อร์รับยา
มีญาติคนป่วยบางคน มาใช้ที่ตรงนี้นอน เหมือนที่ฉันกำลังจะทำ
แป้งคอยโทรมาหาเรื่อยๆ บอกว่าเป็นห่วงฉัน มันน่ากลัว
ฉันบอกไม่เป็นไรหรอก มีญาติคนป่วยเยอะ มีคนอยู่เป็นเพื่อนมากมาย
ฉันเลือกหาเก้าอี้ที่ว่างติดกัน 2ตัว เพื่อเหยียดขาและนอนลงไป
ด้วยความรู้สึกหลายอย่าง เสียงเจ้าหน้าที่ดังเป็นระยะๆ เพื่อเรียกชื่อคนมาจ่ายค่ายา
แทบไม่ได้หลับเลย จนเช้าต้องรีบลุกออกจากตรงนั้น
เพราะมีคนไข้มารอคิวรับบัตรตรวจกันตั้งแต่ตี 5
เช้าวันนั้นแป้งได้ย้ายเข้าไปนอนที่ตึกประกันสังคม เป็นห้องพิเศษรวม
มีคนป่วยอยุ่ประมาณ 4-5 คน แต่กั้นห้องเป็นสัดเป็นส่วน
ทำให้แป้งสบายใจขึ้นมานิดนึง เพราะแป้งกลัวมากที่จะได้นอนห้องรวม
แม่แป้งมาจากขอนแก่น เพื่อมานอนเฝ้าแป้ง
ยังไงแม่ลูกก็ตัดกันไม่ขาด ฉันเข้าใจดี
ช่วงเวลาแบบนี้ แป้งต้องการแม่ มากกว่าสิ่งอื่นใด
ที่ศิริราช แป้งได้อาจารย์หมอเป็นเจ้าของไข้
แป้งถูกตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง เจาะเลือดไปตรวจทุกโรคที่หมอสงสัย
แป้งถูกส่งไปตรวจที่แผนกโรคเลือดโดยตรง
ครั้งนี้แป้งนอนรพ.นานอีกเช่นเคย
ที่แผนกโรคเลือด คุณหมอเจาะเลือด และผ่าเอาก้อนที่คอไปตรวจใหม่อีกครั้ง
ก็ไม่พบเชื้อมะเร็งแต่อย่างใด คุณหมอขอเจาะไขสันหลังตรวจ เพื่อผลที่แน่นอน
ฉันยืนรอแป้งอยู่หน้าห้อง ที่มีม่านปิดไว้ แต่ก็มีรูโหว่พอให้เห็นได้บ้าง
สิ่งที่ฉันเห็นคือ มันเหมือนเป็นแท่งเหล็กแหลมๆยาวๆ ขึ้นลงตามจังหวะ
แต่ไม่เห็นแป้ง เวลาผ่านไปนานเหมือนกัน แป้งก็ออกมา
ฉันถามว่า เจ็บมั๊ย แต่บอกว่า เสียวมากกว่า
หลังจากกลับไปที่ห้องแล้ว แป้งเอาแผลที่หลังให้ดู
มันเป็นเพียงรูเล็กๆๆรูหนึ่่งเท่านั้นเอง ถึงจะรูเล็กแค่นั้นแต่มันถูกแทงลงไปในเนื้อเรา
แป้งคงเจ็บมาก ฉันก็ได้แต่ปลอบใจ ว่าอีกไม่นานคงได้กลับบ้าน
แล้วแป้งก็ได้กลับบ้านจริงๆ หมอนัดมาฟังผลเจาะไขสันหลังอีก 2อาทิตย์ต่อมา
ครั้งนี้แป้งนอนรพ.ไปอีก 1เดือนเต็มๆ
แม่แป้งกลับไปดูร้านที่ขอนแก่นต่อ ส่วนแป้งไปๆมาๆระหว่างบ้านแป้งกับบ้านฉัน
ถึงวันฟังผลไขกระดูก ฉันเป็นคนพาแป้งมารพ.
แป้งเข้าไปหาหมอข้างใน และเดินออกมารอข้างนอก
ฉันถามว่าผลว่างัย แป้งบอกว่า ไม่เห็นหมอว่ายังไง
ยังไม่ทันที่จะถามอะไรแป้งต่อ พยาบาลมาเรียกเรา2คนเข้าไป
พร้อมประวัติ และบอกให้ขึ้นไปให้ยา ชั้นบน
พยาบาลพูดว่า "ให้ยา" ฉันก็งง เหมือนกันว่าให้ยาอะไร
พอพาแป้งขึ้นไปชั้นบน หน้าห้องเขียนว่า "แผนกเคมีบำบัด"
ผ่าตัด
ฉันเล่่าให้แป้งฟัง แป้งเครียดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น
และแป้งกลัวว่าแม่แป้งจะมาโวยวายที่บ้านของฉัน
แป้งจะยอมกลับบ้านไปก่อน เพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลายไปกันใหญ่
แป้งบอกว่า ถ้าแม่หายโกรธแล้ว จะรีบกลับมา
แป้งกลับไปอยู่บ้านไม่กี่วัน
ก็โทรมาร้องไห้ เล่าว่าทะเลาะกับแม่อีก
ให้ฉันมารีบมารับ ฉันไม่รู้จะทำยังไง รู้แต่ว่าสงสารแป้งมาก
ฉันขับรถไปรับแป้งที่บ้าน ทั้งๆที่ก็กลัวว่าถ้าเจอหน้าแม่แป้งแล้วฉันจะทำยังไง
เมื่อไปถึงบ้านแป้ง ฉันจอดรถรออยุ่หน้าบ้าน
แป้งหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าออกมา ตาแดง เหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
ระหว่างทาง ฉันกุมมือแป้งไปตลอดทาง
ทั้งปลอบใจแป้ง และให้กำลังใจตัวเอง
ฉันบอกแป้งว่า ไม่ต้องคิดมากนะ ทั้งๆที่ตัวฉันเองคิดไปสารพัด ต่อไปจะเป็นยังไง
แป้งกลับมาอยู่กับฉัน และทำร้านเกมส์กันต่อ
โดยแม่แป้งไม่โทรมาหาอีกเลย มีเพียงแต่พ่อแป้งที่โทรหาแป้งเสมอๆ
พ่อบอกว่าเด๋วแม่เค้าก็หายโกรธเอง
แป้งมักพูดบ่อยๆว่า แม่ไม่รัก,แม่ลำเอียง รักแต่น้องชาย
ซึ่งมันก็เป็นจริง ไม่ใช่แป้งคิดไปเองหรอก ฉันเห็นด้วยทุกอย่าง
ระยะหลังแป้งเริ่มมีอาการผิดปกติ โดยมีก้อนที่คอ ซึ่งมันเริ่มบวมขึ้นเรื่อยๆ
และมีไข้ตัวร้อนทุกวันในตอนเย็นๆ
แป้งโทรเล่าอาการให้พ่อฟัง พ่ออยากให้แป้งไปหาหมอที่ขอนแก่น
เพราะมีญาติแม่เป็นอาจารย์หมออยู่ที่นั่น
แม่แป้งพอรู้ข่าวว่าแป้งไม่สบาย ดูเหมือนจะหายโกรธ
และบอกให้แป้งรีบมาหาหมอ
ฉันขับรถพาแป้งไปขอนแก่นในวันรุ่งขึ้น
หมอสั่งแอดมิทในทันที ฉันอยู่ขอนแก่นต่ออีกวันสองวัน
แล้วกลับมาดูร้านเกมส์ต่อ ฉันบอกแป้งว่า จะรีบกลับมาเยี่ยมใหม่
ขอกลับไปเคลียร์ที่ร้านเพื่อให้พี่สาวช่วยดูร้านแทนไปก่อน
วันต่อมาฉันกลับมาเยี่ยมแป้งที่ขอนแก่นอีก
แต่ครั้งนี้ไม่ได้ขับรถมา เพราะรถเสียอยู่ที่อู่
ฉันไปถึงร้านเน็ตของแม่แป้ง เพื่อขอยืมรถมอเตอร์ไซต์ขับไปเยี่ยมแป้งที่รพ.
ดูเหมือนแม่แป้งจะกลับมาไม่พอใจฉันอีกครั้ง
แม่แป้งให้ยืมรถมอเตอร์ไซต์ แต่บอกว่าจะรีบใช้รถเหมือนกัน
ฉันไปเฝ้าแป้งเพียงไม่ถึงชม. แม่แป้งก็โทรตามเพื่อจะเอารถ และพูดจาไม่ดีใส่ฉัน
ฉันก็ได้แต่คิดในใจ ว่าฉันยืมรถเค้า เพื่อขับมาเฝ้าลูกให้เค้านะ ฉันไม่ได้เอารถเค้าไปขี่เล่นนะ
ฉันบอกแป้งว่า เอารถไปคืนแม่ก่อนนะ เด๋วจะมาใหม่
ฉันเอามอไซต์ไปคืนแม่แป้งที่ร้านเน็ต แล้วก็เดินมารพ. ท่ามกลางแสงแดดร้อนๆในตอนกลางวัน
แป้งบอกว่าสงสารฉันจังเลย ฉันบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เรื่องเล็ก
เรื่องแป้งซิ เื่รื่องใหญ่กว่ามากเลย
หมอนัดแป้งผ่าเอาก้อนเนื้อทีคอ เพื่อไปตรวจ
ผลตรวจออกมา แป้งไม่ได้เป็นมะเร็ง เราทุกคนโล่งใจ
แต่หมอบอกว่า บางรายต้องผ่าหลายครั้งกว่าจะเจอเชื้อ
หมอพูดเหมือนกับว่า จะต้องหาเชื้อมะเร็งให้เจอให้ได้
หลังจากนั้นหมอก็นัดผ่าอีกเป็นครั้งที่2
และแป้งกลัวว่าแม่แป้งจะมาโวยวายที่บ้านของฉัน
แป้งจะยอมกลับบ้านไปก่อน เพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลายไปกันใหญ่
แป้งบอกว่า ถ้าแม่หายโกรธแล้ว จะรีบกลับมา
แป้งกลับไปอยู่บ้านไม่กี่วัน
ก็โทรมาร้องไห้ เล่าว่าทะเลาะกับแม่อีก
ให้ฉันมารีบมารับ ฉันไม่รู้จะทำยังไง รู้แต่ว่าสงสารแป้งมาก
ฉันขับรถไปรับแป้งที่บ้าน ทั้งๆที่ก็กลัวว่าถ้าเจอหน้าแม่แป้งแล้วฉันจะทำยังไง
เมื่อไปถึงบ้านแป้ง ฉันจอดรถรออยุ่หน้าบ้าน
แป้งหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าออกมา ตาแดง เหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
ระหว่างทาง ฉันกุมมือแป้งไปตลอดทาง
ทั้งปลอบใจแป้ง และให้กำลังใจตัวเอง
ฉันบอกแป้งว่า ไม่ต้องคิดมากนะ ทั้งๆที่ตัวฉันเองคิดไปสารพัด ต่อไปจะเป็นยังไง
แป้งกลับมาอยู่กับฉัน และทำร้านเกมส์กันต่อ
โดยแม่แป้งไม่โทรมาหาอีกเลย มีเพียงแต่พ่อแป้งที่โทรหาแป้งเสมอๆ
พ่อบอกว่าเด๋วแม่เค้าก็หายโกรธเอง
แป้งมักพูดบ่อยๆว่า แม่ไม่รัก,แม่ลำเอียง รักแต่น้องชาย
ซึ่งมันก็เป็นจริง ไม่ใช่แป้งคิดไปเองหรอก ฉันเห็นด้วยทุกอย่าง
ระยะหลังแป้งเริ่มมีอาการผิดปกติ โดยมีก้อนที่คอ ซึ่งมันเริ่มบวมขึ้นเรื่อยๆ
และมีไข้ตัวร้อนทุกวันในตอนเย็นๆ
แป้งโทรเล่าอาการให้พ่อฟัง พ่ออยากให้แป้งไปหาหมอที่ขอนแก่น
เพราะมีญาติแม่เป็นอาจารย์หมออยู่ที่นั่น
แม่แป้งพอรู้ข่าวว่าแป้งไม่สบาย ดูเหมือนจะหายโกรธ
และบอกให้แป้งรีบมาหาหมอ
ฉันขับรถพาแป้งไปขอนแก่นในวันรุ่งขึ้น
หมอสั่งแอดมิทในทันที ฉันอยู่ขอนแก่นต่ออีกวันสองวัน
แล้วกลับมาดูร้านเกมส์ต่อ ฉันบอกแป้งว่า จะรีบกลับมาเยี่ยมใหม่
ขอกลับไปเคลียร์ที่ร้านเพื่อให้พี่สาวช่วยดูร้านแทนไปก่อน
วันต่อมาฉันกลับมาเยี่ยมแป้งที่ขอนแก่นอีก
แต่ครั้งนี้ไม่ได้ขับรถมา เพราะรถเสียอยู่ที่อู่
ฉันไปถึงร้านเน็ตของแม่แป้ง เพื่อขอยืมรถมอเตอร์ไซต์ขับไปเยี่ยมแป้งที่รพ.
ดูเหมือนแม่แป้งจะกลับมาไม่พอใจฉันอีกครั้ง
แม่แป้งให้ยืมรถมอเตอร์ไซต์ แต่บอกว่าจะรีบใช้รถเหมือนกัน
ฉันไปเฝ้าแป้งเพียงไม่ถึงชม. แม่แป้งก็โทรตามเพื่อจะเอารถ และพูดจาไม่ดีใส่ฉัน
ฉันก็ได้แต่คิดในใจ ว่าฉันยืมรถเค้า เพื่อขับมาเฝ้าลูกให้เค้านะ ฉันไม่ได้เอารถเค้าไปขี่เล่นนะ
ฉันบอกแป้งว่า เอารถไปคืนแม่ก่อนนะ เด๋วจะมาใหม่
ฉันเอามอไซต์ไปคืนแม่แป้งที่ร้านเน็ต แล้วก็เดินมารพ. ท่ามกลางแสงแดดร้อนๆในตอนกลางวัน
แป้งบอกว่าสงสารฉันจังเลย ฉันบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เรื่องเล็ก
เรื่องแป้งซิ เื่รื่องใหญ่กว่ามากเลย
หมอนัดแป้งผ่าเอาก้อนเนื้อทีคอ เพื่อไปตรวจ
ผลตรวจออกมา แป้งไม่ได้เป็นมะเร็ง เราทุกคนโล่งใจ
แต่หมอบอกว่า บางรายต้องผ่าหลายครั้งกว่าจะเจอเชื้อ
หมอพูดเหมือนกับว่า จะต้องหาเชื้อมะเร็งให้เจอให้ได้
หลังจากนั้นหมอก็นัดผ่าอีกเป็นครั้งที่2
อุปสรรค
เวลาผ่านไป จนแป้งเรียนจบมหาวิทยาลัย
เราตัดสินใจหุ้นกันเปิดร้านเกมส์ที่จังหวัดที่บ้านฉันอยู่
แรกเริ่มเลย ร้านเกมส์ของเราสองคนเป็นร้านเล็กๆ
ครั้งแรกที่เปิดมีคอมอยู่ 2ตัว กับเกมส์เพย์อีก5เครื่อง
เนื่องจากเป็นร้านที่มีเครื่องน้อย ดังนั้นเด็กจึงเต็มร้านตลอดทั้งวัน
เรา2คนมีความสุขกับกิจการเล็กๆของเรา
ถึงจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ก็เป็นน้ำพักน้ำแรงของเรา2คน
เราไม่ได้นอนที่ร้านเกมส์ แต่กลับมานอนที่บ้านฉัน
แป้งเข้ากันได้ดีกับครอบครัวฉัน
แม่ฉันไม่ได้ถามเรื่องแป้งอีกเลย หลังจากวันนั้น
ฉันไม่รู้หรอกว่าแม่รู้หรือเปล่า หรืออาจจะคิดว่าแป้งเป็นแค่เพื่อนก็ได้
แรกๆพ่อแม่แป้งก็ไม่ชอบและไม่พอใจที่แป้งเรียนจบแล้ว
แต่ไม่ยอมกลับบ้าน แป้งบอกพ่อว่า อยากทำเกี่ยวกับคอม เพื่อจะได้ใช้วิชาที่เรียนมา
นานๆแป้งจะกลับบ้านที บางทีก็เดือนละครั้ง บางครั้งก็กลับเสาร์อาทิตย์บ้าง
จากที่มีคอม2เครื่อง ปีต่อๆมา เราก็เพิ่มเครื่องขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งปีที่4ของการทำร้านเกมส์เราก็มีคอมอยุ่ถึง 10เครื่อง พร้อมกับสมาชิกตัวน้อยที่เพิ่มเข้ามา
"ปังย่า" ๆเป็นลูกหมาพันธ์ผสมระหว่างชิสุกับพุดเดิ้ล
เราไปซื้อมันมา ตอนที่เกมส์ออนไลน์ชื่อ "ปังย่า"กำลังฮิตมากๆๆ
ปังย่า เป็นหมาไฮเปอร์มาก คงเพราะโตมากับร้านเกมส์ โตมากับเด็กร้านเกมส์
เด็กทุกคนในร้านรักปังย่า ชีวิตของเราสองคนเริ่มมีสีสันและความวุ่นวายเมื่อมีปังย่าเข้ามา
ความสัมพันธ์ของเราสองคนนับวันยิ่งแน้นแฟ้น และผูกพันธ์กันมากขึ้น
เวลาผ่านไปหลายปี ความรักของเราเป็นทั้งเพื่อน ,เป็นทั้งแฟน
เราทะเลาะกันบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่เคยข้ามวัน ก็กลับมาดีกัน
แล้ววันหนึ่ง แม่แป้งก็คิดจะเปิดร้านอินเตอร์เน็ตที่ขอนแก่น
และต้องการให้แป้งไปช่วยดูแลร้านด้วย
แน่นอนว่า แป้งจะเอาฉันไปอยู่ด้วยที่ขอนแก่น
แรกๆฉันก็ฝากร้านให้พี่สาวช่วยดูแลแทน แล้วตัวฉันก็ไปอยู่ขอนแก่นกับแป้ง
ร้านที่ขอนแก่นฉันไม่ได้มีส่วนกับรายได้ที่เข้ามาด้วยเลย
เพียงแต่ฉันต้องการไปอยู่กับแป้ง ใกล้ๆแป้งเท่านั้นเอง
แป้งเริ่มมีปากเสียงและทะเลาะกับแม่บ่อยขึ้น
ทั้งเรื่องฉันและเรื่องร้าน จนวันหนึ่งทะเลาะกันหนักมาก
จนเราสองคนตัดสินใจหนีกลับบ้านฉันที่ต่างจังหวัด
โดยไม่บอกให้แม่แป้งรู้ก่อน
เรากลับมาทำร้านเกมส์ของเราต่อไม่กี่วัน
แม่แป้งก็โทรมาที่บ้านฉัน วันนั้นฉันกับแป้งอยู่ที่ร้านเกมส์
เรากลับมาบ้านในตอนกลางคืน
เห็นแม่ฉันตาแดงกล่ำ เหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มา
แม่เรียกฉันไปคุย บอกว่า แม่แป้งโทรมาว่าต่างๆนานา
หาว่าฉันพาแป้งหนีมา ไม่ยอมกลับบ้าน
แม่ฉันถามว่า รู้จักกับแป้งได้ยังไง
ฉันแปลกใจว่าทำไมแม่ถึงถาม ทั้งๆที่ฉันกับแป้งก็คบกันมาเกือบ4ปีแล้ว
ฉันยังไม่ทันจะตอบ แม่ฉันก็พูดบอกว่า
แม่แป้งเค้าบอกว่า "รุ้มั๊ยว่าฉันกับแป้งนะ ไม่ได้เป้นแค่เพื่อนกัน และรุ้จักกันทางอินเตอร์เน็ต"
แม่แป้งยังบอกอีกว่า "ทางบ้านเค้าไม่ยอมรับ เค้าอายคนอื่น "
ฉันจึงยอมรับกับแม่ แม่ฉันบอกว่ากลัวฉันจะต้องเสียใจกับความรักแบบนี้
ฉันบอกแม่ว่า "แม่ไม่อยากเห็นฉันมีความสุขเหรอ แป้งเป็นคนดี และเราก็รักกันมาก"
แม่ฉันไม่ว่าอะไร และถามว่าจะทำยังไงกันต่อไป
เราตัดสินใจหุ้นกันเปิดร้านเกมส์ที่จังหวัดที่บ้านฉันอยู่
แรกเริ่มเลย ร้านเกมส์ของเราสองคนเป็นร้านเล็กๆ
ครั้งแรกที่เปิดมีคอมอยู่ 2ตัว กับเกมส์เพย์อีก5เครื่อง
เนื่องจากเป็นร้านที่มีเครื่องน้อย ดังนั้นเด็กจึงเต็มร้านตลอดทั้งวัน
เรา2คนมีความสุขกับกิจการเล็กๆของเรา
ถึงจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ก็เป็นน้ำพักน้ำแรงของเรา2คน
เราไม่ได้นอนที่ร้านเกมส์ แต่กลับมานอนที่บ้านฉัน
แป้งเข้ากันได้ดีกับครอบครัวฉัน
แม่ฉันไม่ได้ถามเรื่องแป้งอีกเลย หลังจากวันนั้น
ฉันไม่รู้หรอกว่าแม่รู้หรือเปล่า หรืออาจจะคิดว่าแป้งเป็นแค่เพื่อนก็ได้
แรกๆพ่อแม่แป้งก็ไม่ชอบและไม่พอใจที่แป้งเรียนจบแล้ว
แต่ไม่ยอมกลับบ้าน แป้งบอกพ่อว่า อยากทำเกี่ยวกับคอม เพื่อจะได้ใช้วิชาที่เรียนมา
นานๆแป้งจะกลับบ้านที บางทีก็เดือนละครั้ง บางครั้งก็กลับเสาร์อาทิตย์บ้าง
จากที่มีคอม2เครื่อง ปีต่อๆมา เราก็เพิ่มเครื่องขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งปีที่4ของการทำร้านเกมส์เราก็มีคอมอยุ่ถึง 10เครื่อง พร้อมกับสมาชิกตัวน้อยที่เพิ่มเข้ามา
"ปังย่า" ๆเป็นลูกหมาพันธ์ผสมระหว่างชิสุกับพุดเดิ้ล
เราไปซื้อมันมา ตอนที่เกมส์ออนไลน์ชื่อ "ปังย่า"กำลังฮิตมากๆๆ
ปังย่า เป็นหมาไฮเปอร์มาก คงเพราะโตมากับร้านเกมส์ โตมากับเด็กร้านเกมส์
เด็กทุกคนในร้านรักปังย่า ชีวิตของเราสองคนเริ่มมีสีสันและความวุ่นวายเมื่อมีปังย่าเข้ามา
ความสัมพันธ์ของเราสองคนนับวันยิ่งแน้นแฟ้น และผูกพันธ์กันมากขึ้น
เวลาผ่านไปหลายปี ความรักของเราเป็นทั้งเพื่อน ,เป็นทั้งแฟน
เราทะเลาะกันบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่เคยข้ามวัน ก็กลับมาดีกัน
แล้ววันหนึ่ง แม่แป้งก็คิดจะเปิดร้านอินเตอร์เน็ตที่ขอนแก่น
และต้องการให้แป้งไปช่วยดูแลร้านด้วย
แน่นอนว่า แป้งจะเอาฉันไปอยู่ด้วยที่ขอนแก่น
แรกๆฉันก็ฝากร้านให้พี่สาวช่วยดูแลแทน แล้วตัวฉันก็ไปอยู่ขอนแก่นกับแป้ง
ร้านที่ขอนแก่นฉันไม่ได้มีส่วนกับรายได้ที่เข้ามาด้วยเลย
เพียงแต่ฉันต้องการไปอยู่กับแป้ง ใกล้ๆแป้งเท่านั้นเอง
แป้งเริ่มมีปากเสียงและทะเลาะกับแม่บ่อยขึ้น
ทั้งเรื่องฉันและเรื่องร้าน จนวันหนึ่งทะเลาะกันหนักมาก
จนเราสองคนตัดสินใจหนีกลับบ้านฉันที่ต่างจังหวัด
โดยไม่บอกให้แม่แป้งรู้ก่อน
เรากลับมาทำร้านเกมส์ของเราต่อไม่กี่วัน
แม่แป้งก็โทรมาที่บ้านฉัน วันนั้นฉันกับแป้งอยู่ที่ร้านเกมส์
เรากลับมาบ้านในตอนกลางคืน
เห็นแม่ฉันตาแดงกล่ำ เหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มา
แม่เรียกฉันไปคุย บอกว่า แม่แป้งโทรมาว่าต่างๆนานา
หาว่าฉันพาแป้งหนีมา ไม่ยอมกลับบ้าน
แม่ฉันถามว่า รู้จักกับแป้งได้ยังไง
ฉันแปลกใจว่าทำไมแม่ถึงถาม ทั้งๆที่ฉันกับแป้งก็คบกันมาเกือบ4ปีแล้ว
ฉันยังไม่ทันจะตอบ แม่ฉันก็พูดบอกว่า
แม่แป้งเค้าบอกว่า "รุ้มั๊ยว่าฉันกับแป้งนะ ไม่ได้เป้นแค่เพื่อนกัน และรุ้จักกันทางอินเตอร์เน็ต"
แม่แป้งยังบอกอีกว่า "ทางบ้านเค้าไม่ยอมรับ เค้าอายคนอื่น "
ฉันจึงยอมรับกับแม่ แม่ฉันบอกว่ากลัวฉันจะต้องเสียใจกับความรักแบบนี้
ฉันบอกแม่ว่า "แม่ไม่อยากเห็นฉันมีความสุขเหรอ แป้งเป็นคนดี และเราก็รักกันมาก"
แม่ฉันไม่ว่าอะไร และถามว่าจะทำยังไงกันต่อไป
ไปเจอพ่อแม่
หลังจากวางสายไป แป้งก็บอกว่า คนที่โทรมาชื่ออ้อม
รู้จักกับแป้งทางเน็ต แต่รู้จักก่อนฉันหลายเดือนอยู่เหมือนกัน
อ้อมอยู่เชียงราย ส่วนใหญ่จะติดต่อกับแป้งทางจดหมาย
ด้วยความที่อยู่ไกลกัน จึงห่างๆกัน นานๆอ้อมจะมาหาแป้งทีกทม.
แล้วแป้งก็บอกว่า พรุ่งนี้อ้อมจะมาหา เพราะตอนนี้อ้อมมาพักอยู่หอกับเพื่อนทีกทม.
ฉันจึงบอกแป้งว่า ไม่เป็นไร งั้นพรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้านละกัน
แต่แป้งไม่ยอมให้กลับ แป้งบอกว่าพรุ่งนี้เราก็ไปขายของด้วยกันแล้วค่อยกลับห้องค่ำๆ
ฉันบอกว่า มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเลย แป้งจะหนีไปตลอดแบบนี้ไม่ได้หรอก
ซักวันอ้อมก็ต้องรุ้ความจริง ฉันไม่อยากเป็นมือที่สาม
แต่แป้งบอกว่า ไม่เกี่ยวกับฉัน เพราะแป้งไม่ได้ตอบจม.อ้อมมาหลายฉบับแล้ว
โทรศัพท์ก็ไม่เคยโทรไปหามานานแล้ว
สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก แป้งบอกให้ฉันเป็นคนรับ อ้อมจะได้รู้
แป้งบอกว่า ไม่รู้จะบอกอ้อมว่ายังไงเหมือนกัน เพราะแป้งไม่กล้า
แป้งยื่นโทรศัพท์ให้ฉัน .. หวัดดีค่ะ ฉันพูด
เสียงปลายสายถามว่า ใครพูดคะ
ฉันบอกชื่อฉันลงไป อ้อมถามว่าฉันเป็นใคร เป็นเพื่อนแป้งหรอ
แล้วฉันก็ให้แป้งพูดต่อ
ฉันได้ยินแต่แป้งพูดอยู่คำเดียว ว่าใช่
หลังจากวางสาย แป้งบอกว่า อ้อมรู้แล้วเรื่องของเรา
แป้งบอกว่า สงสารอ้อมเหมือนกัน อ้อมไม่ได้ผิดอะไร
แต่แป้งก็ไม่ได้คิดอะไรกับอ้อมมานานแล้ว เพราะไม่ค่อยได้เจอกัน
ฉันก็ไม่รุ้จะทำยังไง เหมือนกัน ถ้าแป้งเลือกอ้อม
ฉันก็ยินดีที่จะหลีกทางให้ เพราะมันเพิ่งเริ่มต้น
ฉันอาจเสียใจ แต่คงไม่นาน แต่ในเมื่อแป้งเลือกฉันแล้ว
ฉันก็ดีใจ เพราะฉันก็รู้สึกดีๆให้แป้ง มากเหมือนกัน
หลังจากนั้นอ้อมก็หายไป จนเราลืมเรื่องของอ้อมกันไปเลย
ฉันยังคงไปมาหาสู่แป้งเหมือนเดิม
ฉันไปค้างที่หอแป้งบ้าง แป้งมาค้างที่บ้านฉันบ้าง
แล้ววันหนึ่ง วันที่ฉันไปค้างที่หอแป้งเหมือนปกติ
ป้าแป้งโทรมาบอกว่า หมาที่บ้านแป้ง ชื่อ สีหม่น ตายแล้ว
แป้งเสียใจมาก เพราะเลี้ยงมันมาตั้งแต่เด็กๆ
ฉันเห็นแป้งร้องไห้เสียใจแล้ว ก็เลยบอกว่า
กลับบ้านกันมั๊ย จะได้ไปฝังสีหม่นทัน
คืนนั้นฉันจึงขับรถพาแป้งกลับบ้านที่ชัยนาท
เป็นครั้งแรกที่ฉันไปบ้านแป้งที่ตจว.
บ้านแป้งอยู่กัน 4คน มีพ่อ แม่ แป้ง และน้องชาย
ส่วนบ้านป้านั้น อยู่อีกหลังนึง ไม่ไกลกันมากนัก
เราไปถึงชัยนาท เกือบ 4ทุ่ม โดยไปบ้านป้าก่อน
เพื่อไปดูสีหม่น เป็นครั้งสุดท้าย
คืนนั้นฉันนอนที่บ้านแป้ง
โดยแป้งบอกว่า ฉันเป็นเพื่อน
พ่อแม่แป้ง ใจดีมาก โดยเฉพาะพ่อแป้ง รักแป้งมาก
แป้งแนะนำ สมาชิก ต้วน้อย .. "หนูกรี๊ด" เป็นแมวที่แป้งเลี้ยงไว้
เป็นแมวที่เชื่องมาก มันเจอแป้ง มันดีใจมาก
กระโดดเกาะหลังแป้ง ดูแป้งอ่อนโยนมาก
ทำให้ฉันรู้อีกอย่าง ว่าแป้งรักสัตว์มาก
คนที่รักสัตว์ มันจะเป็นคนที่อ่อนโยน ฉันเห็นด้วย
รู้จักกับแป้งทางเน็ต แต่รู้จักก่อนฉันหลายเดือนอยู่เหมือนกัน
อ้อมอยู่เชียงราย ส่วนใหญ่จะติดต่อกับแป้งทางจดหมาย
ด้วยความที่อยู่ไกลกัน จึงห่างๆกัน นานๆอ้อมจะมาหาแป้งทีกทม.
แล้วแป้งก็บอกว่า พรุ่งนี้อ้อมจะมาหา เพราะตอนนี้อ้อมมาพักอยู่หอกับเพื่อนทีกทม.
ฉันจึงบอกแป้งว่า ไม่เป็นไร งั้นพรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้านละกัน
แต่แป้งไม่ยอมให้กลับ แป้งบอกว่าพรุ่งนี้เราก็ไปขายของด้วยกันแล้วค่อยกลับห้องค่ำๆ
ฉันบอกว่า มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเลย แป้งจะหนีไปตลอดแบบนี้ไม่ได้หรอก
ซักวันอ้อมก็ต้องรุ้ความจริง ฉันไม่อยากเป็นมือที่สาม
แต่แป้งบอกว่า ไม่เกี่ยวกับฉัน เพราะแป้งไม่ได้ตอบจม.อ้อมมาหลายฉบับแล้ว
โทรศัพท์ก็ไม่เคยโทรไปหามานานแล้ว
สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก แป้งบอกให้ฉันเป็นคนรับ อ้อมจะได้รู้
แป้งบอกว่า ไม่รู้จะบอกอ้อมว่ายังไงเหมือนกัน เพราะแป้งไม่กล้า
แป้งยื่นโทรศัพท์ให้ฉัน .. หวัดดีค่ะ ฉันพูด
เสียงปลายสายถามว่า ใครพูดคะ
ฉันบอกชื่อฉันลงไป อ้อมถามว่าฉันเป็นใคร เป็นเพื่อนแป้งหรอ
แล้วฉันก็ให้แป้งพูดต่อ
ฉันได้ยินแต่แป้งพูดอยู่คำเดียว ว่าใช่
หลังจากวางสาย แป้งบอกว่า อ้อมรู้แล้วเรื่องของเรา
แป้งบอกว่า สงสารอ้อมเหมือนกัน อ้อมไม่ได้ผิดอะไร
แต่แป้งก็ไม่ได้คิดอะไรกับอ้อมมานานแล้ว เพราะไม่ค่อยได้เจอกัน
ฉันก็ไม่รุ้จะทำยังไง เหมือนกัน ถ้าแป้งเลือกอ้อม
ฉันก็ยินดีที่จะหลีกทางให้ เพราะมันเพิ่งเริ่มต้น
ฉันอาจเสียใจ แต่คงไม่นาน แต่ในเมื่อแป้งเลือกฉันแล้ว
ฉันก็ดีใจ เพราะฉันก็รู้สึกดีๆให้แป้ง มากเหมือนกัน
หลังจากนั้นอ้อมก็หายไป จนเราลืมเรื่องของอ้อมกันไปเลย
ฉันยังคงไปมาหาสู่แป้งเหมือนเดิม
ฉันไปค้างที่หอแป้งบ้าง แป้งมาค้างที่บ้านฉันบ้าง
แล้ววันหนึ่ง วันที่ฉันไปค้างที่หอแป้งเหมือนปกติ
ป้าแป้งโทรมาบอกว่า หมาที่บ้านแป้ง ชื่อ สีหม่น ตายแล้ว
แป้งเสียใจมาก เพราะเลี้ยงมันมาตั้งแต่เด็กๆ
ฉันเห็นแป้งร้องไห้เสียใจแล้ว ก็เลยบอกว่า
กลับบ้านกันมั๊ย จะได้ไปฝังสีหม่นทัน
คืนนั้นฉันจึงขับรถพาแป้งกลับบ้านที่ชัยนาท
เป็นครั้งแรกที่ฉันไปบ้านแป้งที่ตจว.
บ้านแป้งอยู่กัน 4คน มีพ่อ แม่ แป้ง และน้องชาย
ส่วนบ้านป้านั้น อยู่อีกหลังนึง ไม่ไกลกันมากนัก
เราไปถึงชัยนาท เกือบ 4ทุ่ม โดยไปบ้านป้าก่อน
เพื่อไปดูสีหม่น เป็นครั้งสุดท้าย
คืนนั้นฉันนอนที่บ้านแป้ง
โดยแป้งบอกว่า ฉันเป็นเพื่อน
พ่อแม่แป้ง ใจดีมาก โดยเฉพาะพ่อแป้ง รักแป้งมาก
แป้งแนะนำ สมาชิก ต้วน้อย .. "หนูกรี๊ด" เป็นแมวที่แป้งเลี้ยงไว้
เป็นแมวที่เชื่องมาก มันเจอแป้ง มันดีใจมาก
กระโดดเกาะหลังแป้ง ดูแป้งอ่อนโยนมาก
ทำให้ฉันรู้อีกอย่าง ว่าแป้งรักสัตว์มาก
คนที่รักสัตว์ มันจะเป็นคนที่อ่อนโยน ฉันเห็นด้วย
ไข่คน กับคนพิเศษ
แป้งบอกว่า หาไม่ยากเลย นั่งวินมาลงที่ตลาด
ก็เห็นรถตุ๊กตามาแต่ไกลแล้ว แต่ยังไม่เห็นคนขาย
แน่ละซิ ก็ตุ๊กตามันบังฉันจนมิดเลย จะเห็นได้ยังไง
เรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ขายของไปด้วย
ครั้งนี้ความเขินอาย หายไปหมด
แป้งชวนฉันไปขายที่แถวมหาลัยแป้ง เพราะนักศึกษาเยอะมาก
ฉันก็คิดว่า น่าสนใจอยู่เหมือนกัน น่าจะดีกว่าขายซ้ำซากจำเจอยู่ที่เดียว
เราจึงตกลงกันว่า อาทิตย์หน้าฉันจะลองไปขายแถวมหาลัยแป้งดู
คืนนั้นแป้งนอนค้างที่บ้านฉัน เพราะกว่าจะขายของเสร็จก็ดึกแล้ว
ไม่อยากให้แป้งนั่งรถทัวร์กลับคนเดียว มันอันตราย
ตอนเช้าแป้งจึงนั่งรถทัวร์กลับ เพื่อไปเรียนในตอนบ่ายต่อ
แม่เข้ามาถามฉันที่ห้องหลังจากแป้งกลับไปแล้ว
ว่าแป้งเป็นใคร ท่าทางเหมือนทอมเลย
ฉันบอกว่าเป็นเพื่อนที่กทม.
ฉันไม่อยากบอกให้แม่รู้ว่า ฉันกับแป้งรู้จักกันทางอินเตอร์เน็ต
ฉันคิดว่า ผุ้ใหญ่คงไม่เข้าใจ ความสำพันธ์แบบนี้เท่าใดนัก
หลังจากนั้นอาทิตย์ต่อมา ฉันก็ขับรถตุ๊กตาของฉันเข้าไปขายของที่มหาลัยของแป้ง
แป้งพาไปหาที่แถวตลาด หลังมหาลัย ซึ่งวันที่ไปมีตลาดนัดพอดี
เรานั่งขายของกันอย่างสนุกสนาน
อาจจะเป็นเพราะว่า ของแปลกสำหรับที่นี่ก็ได้ ทำให้เราขายดีมาก
ฉันบอกแป้งว่า มื้อเย็นนี้ ฉันขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงแป้งเอง
แต่แป้งบอกว่า แป้งจะโชว์ฝีมือทำอาหารให้ฉันกินเอง
แป้งถามว่า "ฉันชอบกินอะไร"
ฉันบอกว่า ฉันชอบกินยำวุ้นเส้น
แป้งบอกว่า จะทำยำวุ้นเส้นที่อร่อยที่สุด ให้ฉันกิน
เราขับรถตุ๊กตาเข้าไปจอดที่อพาท์เม้นแป้ง
แล้วแป้งพาขี่จักรยานออกมาซื้อของเพื่อทำอาหารเย็น
ระหว่างทางที่ซ้อนรถจักรยานมานั้น ข้างๆทางมีแต่ต้นไม้ มีกระรอกวิ่งผ่านด้้วย
ฉันชอบบรรยากาศแบบนี้จังเลย
แป้งบอกว่า ถ้าชอบก็อยู่หลายๆวันซิ หรือจะมาบ่อยๆก็ได้ แป้งอยู่คนเดียว
ฉันเห็นว่า มาขายตุ๊กตาที่นี่ก็ขายดี กว่าที่บ้านซะอีก
และฉันก็อยากอยู่กับแป้งด้วย ฉันมีความสุขมากเวลาอยู่กับแป้ง
จึงตัดสินใจอยู่ขายต่ออีก 2-3วัน
คืนนั้นแป้งทำยำวุ้นเส้นให้กิน อร่อยมากเลย
และก็มีไข่คน (แป้งเรียกว่าไข่คน) เพราะมันไม่ใช่ไข่เจียว
แต่นำไข่มาตีๆคนๆแล้วก็ทอด
ซึ่งไอ้เมนูไข่คน นี่ตอนหลังกลายเป็นอาหารจากนโปรดของฉันทีเดียว
ดูจากบุคคลิกแป้งแล้ว ก็พอจะรู้ได้ว่าแป้งเป็นคนชอบทำอาหาร
ในห้องนอนแป้ง มีอุปกรณ์ทำอาหาร,หม้อ ไมโครเวฟ ครบครัน
คืนนั้นจะเป็นคืนที่ฉันอยู่กับแป้งแล้วมีความสุขมาก
ถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา มีผู้หญิงโทรเข้ามาหาที่เบอร์ห้องแป้ง
ต่อให้ฉันไม่ตั้งใจฟัง ก็ต้องได้ยิน เพราะห้องมันเล็กๆแค่นั้นเอง
ได้ยินเสียงแป้งพูดว่า "มาไม่ได้หรอก เพื่อนมานอนที่ห้อง"
ก็เห็นรถตุ๊กตามาแต่ไกลแล้ว แต่ยังไม่เห็นคนขาย
แน่ละซิ ก็ตุ๊กตามันบังฉันจนมิดเลย จะเห็นได้ยังไง
เรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ขายของไปด้วย
ครั้งนี้ความเขินอาย หายไปหมด
แป้งชวนฉันไปขายที่แถวมหาลัยแป้ง เพราะนักศึกษาเยอะมาก
ฉันก็คิดว่า น่าสนใจอยู่เหมือนกัน น่าจะดีกว่าขายซ้ำซากจำเจอยู่ที่เดียว
เราจึงตกลงกันว่า อาทิตย์หน้าฉันจะลองไปขายแถวมหาลัยแป้งดู
คืนนั้นแป้งนอนค้างที่บ้านฉัน เพราะกว่าจะขายของเสร็จก็ดึกแล้ว
ไม่อยากให้แป้งนั่งรถทัวร์กลับคนเดียว มันอันตราย
ตอนเช้าแป้งจึงนั่งรถทัวร์กลับ เพื่อไปเรียนในตอนบ่ายต่อ
แม่เข้ามาถามฉันที่ห้องหลังจากแป้งกลับไปแล้ว
ว่าแป้งเป็นใคร ท่าทางเหมือนทอมเลย
ฉันบอกว่าเป็นเพื่อนที่กทม.
ฉันไม่อยากบอกให้แม่รู้ว่า ฉันกับแป้งรู้จักกันทางอินเตอร์เน็ต
ฉันคิดว่า ผุ้ใหญ่คงไม่เข้าใจ ความสำพันธ์แบบนี้เท่าใดนัก
หลังจากนั้นอาทิตย์ต่อมา ฉันก็ขับรถตุ๊กตาของฉันเข้าไปขายของที่มหาลัยของแป้ง
แป้งพาไปหาที่แถวตลาด หลังมหาลัย ซึ่งวันที่ไปมีตลาดนัดพอดี
เรานั่งขายของกันอย่างสนุกสนาน
อาจจะเป็นเพราะว่า ของแปลกสำหรับที่นี่ก็ได้ ทำให้เราขายดีมาก
ฉันบอกแป้งว่า มื้อเย็นนี้ ฉันขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงแป้งเอง
แต่แป้งบอกว่า แป้งจะโชว์ฝีมือทำอาหารให้ฉันกินเอง
แป้งถามว่า "ฉันชอบกินอะไร"
ฉันบอกว่า ฉันชอบกินยำวุ้นเส้น
แป้งบอกว่า จะทำยำวุ้นเส้นที่อร่อยที่สุด ให้ฉันกิน
เราขับรถตุ๊กตาเข้าไปจอดที่อพาท์เม้นแป้ง
แล้วแป้งพาขี่จักรยานออกมาซื้อของเพื่อทำอาหารเย็น
ระหว่างทางที่ซ้อนรถจักรยานมานั้น ข้างๆทางมีแต่ต้นไม้ มีกระรอกวิ่งผ่านด้้วย
ฉันชอบบรรยากาศแบบนี้จังเลย
แป้งบอกว่า ถ้าชอบก็อยู่หลายๆวันซิ หรือจะมาบ่อยๆก็ได้ แป้งอยู่คนเดียว
ฉันเห็นว่า มาขายตุ๊กตาที่นี่ก็ขายดี กว่าที่บ้านซะอีก
และฉันก็อยากอยู่กับแป้งด้วย ฉันมีความสุขมากเวลาอยู่กับแป้ง
จึงตัดสินใจอยู่ขายต่ออีก 2-3วัน
คืนนั้นแป้งทำยำวุ้นเส้นให้กิน อร่อยมากเลย
และก็มีไข่คน (แป้งเรียกว่าไข่คน) เพราะมันไม่ใช่ไข่เจียว
แต่นำไข่มาตีๆคนๆแล้วก็ทอด
ซึ่งไอ้เมนูไข่คน นี่ตอนหลังกลายเป็นอาหารจากนโปรดของฉันทีเดียว
ดูจากบุคคลิกแป้งแล้ว ก็พอจะรู้ได้ว่าแป้งเป็นคนชอบทำอาหาร
ในห้องนอนแป้ง มีอุปกรณ์ทำอาหาร,หม้อ ไมโครเวฟ ครบครัน
คืนนั้นจะเป็นคืนที่ฉันอยู่กับแป้งแล้วมีความสุขมาก
ถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา มีผู้หญิงโทรเข้ามาหาที่เบอร์ห้องแป้ง
ต่อให้ฉันไม่ตั้งใจฟัง ก็ต้องได้ยิน เพราะห้องมันเล็กๆแค่นั้นเอง
ได้ยินเสียงแป้งพูดว่า "มาไม่ได้หรอก เพื่อนมานอนที่ห้อง"
ประทับใจเมื่อแรกเจอ
ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากเหมือนกันที่จะได้ไปเจอแป้ง
เป็นครั้งแรกที่นัดเจอกับเพื่อนทางอินเตอร์เน็ต
เรานัดเจอกัันครงหน้า kfc
ฉันไม่รู้หรอกว่าใครไปถึงก่อน
พอฉันไปถึง ฉันก็โทรบอกแป้งว่ามาถึงแล้วนะ
แป้งถามว่าอยู่ตรงไหน ฉันก็บอกว่า "ตรงประตูหน้า kfc"
แป้งก็บอกว่า แป้งก็รออยู่ตรงนั้นเหมือนกัน ไม่เห็นฉันเลย
ฉันกวาดสายตามอง ก็ไม่เห็นแป้งเหมือนกัน
ซักพัก แป้งก็เดินออกมา ที่จริงแล้ว แป้งเห็นฉันตลอดเวลา แต่แกล้งแอบฉัน
แป้งดูผอมกว่าในรูปเล็กน้อย
ใส่กางเกงขาสั้นประมาณเข่า และใส่หมวกมาด้วย
เหมือนทอมเลยแหละ ฉันคิดในใจ
แล้วเราก็ไปกินข้าวกันต่อที่ เชสเตอร์กิล
มื้อนั้นแป้งเลี้ยง (แมนมาก) อิอิ
ระหว่างนั่งกิน ก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก
ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากิน ด้วยความเขินอาย
ถึงจะคุยโทรศัพท์กันมาหลายเดือนแล้วก็ตามที
หลังจากนั้นก็ไปกินไอติม baskin กันต่อ
ถึงตอนนี้เริ่มจะคุ้นเคยกันมากขึ้น เราต่างเริ่มคุยกันเหมือนตอนคุยโทรศัพท์
ก่อนแยกกันกลับบ้าน แป้งบอกว่า คราวหน้าแป้งจะเป้นฝ่ายไปหาฉันที่บ้านเอง
เอาและซิ ถ้าแม่เห็นแป้ง ต้องรู้แน่ๆเลย เพราะแป้งท่าทางเหมือนทอมมาก
ความลับไม่มีในโลก ถึงแม่ฉันจะไม่รู้วันนี้ วันหลังเค้าก้ต้องรู้อยู่ดี
หลังจากกลับบ้านแล้ว เราก็สานสัมพันธ์กันเรื่อยๆตลอดมา
แป้งเป็นฝ่ายโทรมาฉันบ่อยๆ จนบางครั้งรุ้สึกเห็นใจและสงสาร
เพราะแป้งยังเรียนไม่จบเลย ค่าโทรศัพท์หาฉันเดือนๆนึง เยอะเหมือนกัน
หลังจากนั้นอีก 2อาทิตย์ แป้งก็มาหาฉันตามที่สัญญาไว้
แป้งนั่งรถทัวร์มาหาฉันที่ตจว.
ฉันรู้สึกได้ถึงความจริงใจที่แป้งมีให้
แป้งนั่งรถทัวร์มาคนเดียว และก็นั่งกลับคนเดียว
โดยไม่ขอร้องฉันซักคำว่าให้ฉันไปส่ง ทั้งๆที่ฉันมีรถ
วันนั้นที่แป้งมาหาฉันที่บ้านตจว.นั้น
ตอนนั้นฉันขายตุ๊กตาอยู่ โดยนำตุ๊กตามาวางขายบนรถ
ฉันจอดรถขายอยู่ที่ตลาด แป้งบอกว่าจะนั่งวินมาเอง
ฉันก้บอกว่า หาฉันง่ายอยู่แล้ว เพราะมีรถตุ๊กตาจอดอยู่
ที่เรียกว่า รถตุ๊กตา เพราะมันมีตุ๊กตาวางเต็มรถไปหมดเลย
หนีบไว้ทั้งกระจกรถ ,ประตู,ท้ายรถ,บนหลังคา
แล้วเราก็เจอกันอีกเป็นครั้งที่ 2
แป้งมาในชุดนักศึกษา
นักศึกษาอ้วนผู้น่ารักของฉัน .. ฉันยิ้มอย่างดีใจเมื่อเจอแป้ง
เป็นครั้งแรกที่นัดเจอกับเพื่อนทางอินเตอร์เน็ต
เรานัดเจอกัันครงหน้า kfc
ฉันไม่รู้หรอกว่าใครไปถึงก่อน
พอฉันไปถึง ฉันก็โทรบอกแป้งว่ามาถึงแล้วนะ
แป้งถามว่าอยู่ตรงไหน ฉันก็บอกว่า "ตรงประตูหน้า kfc"
แป้งก็บอกว่า แป้งก็รออยู่ตรงนั้นเหมือนกัน ไม่เห็นฉันเลย
ฉันกวาดสายตามอง ก็ไม่เห็นแป้งเหมือนกัน
ซักพัก แป้งก็เดินออกมา ที่จริงแล้ว แป้งเห็นฉันตลอดเวลา แต่แกล้งแอบฉัน
แป้งดูผอมกว่าในรูปเล็กน้อย
ใส่กางเกงขาสั้นประมาณเข่า และใส่หมวกมาด้วย
เหมือนทอมเลยแหละ ฉันคิดในใจ
แล้วเราก็ไปกินข้าวกันต่อที่ เชสเตอร์กิล
มื้อนั้นแป้งเลี้ยง (แมนมาก) อิอิ
ระหว่างนั่งกิน ก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก
ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากิน ด้วยความเขินอาย
ถึงจะคุยโทรศัพท์กันมาหลายเดือนแล้วก็ตามที
หลังจากนั้นก็ไปกินไอติม baskin กันต่อ
ถึงตอนนี้เริ่มจะคุ้นเคยกันมากขึ้น เราต่างเริ่มคุยกันเหมือนตอนคุยโทรศัพท์
ก่อนแยกกันกลับบ้าน แป้งบอกว่า คราวหน้าแป้งจะเป้นฝ่ายไปหาฉันที่บ้านเอง
เอาและซิ ถ้าแม่เห็นแป้ง ต้องรู้แน่ๆเลย เพราะแป้งท่าทางเหมือนทอมมาก
ความลับไม่มีในโลก ถึงแม่ฉันจะไม่รู้วันนี้ วันหลังเค้าก้ต้องรู้อยู่ดี
หลังจากกลับบ้านแล้ว เราก็สานสัมพันธ์กันเรื่อยๆตลอดมา
แป้งเป็นฝ่ายโทรมาฉันบ่อยๆ จนบางครั้งรุ้สึกเห็นใจและสงสาร
เพราะแป้งยังเรียนไม่จบเลย ค่าโทรศัพท์หาฉันเดือนๆนึง เยอะเหมือนกัน
หลังจากนั้นอีก 2อาทิตย์ แป้งก็มาหาฉันตามที่สัญญาไว้
แป้งนั่งรถทัวร์มาหาฉันที่ตจว.
ฉันรู้สึกได้ถึงความจริงใจที่แป้งมีให้
แป้งนั่งรถทัวร์มาคนเดียว และก็นั่งกลับคนเดียว
โดยไม่ขอร้องฉันซักคำว่าให้ฉันไปส่ง ทั้งๆที่ฉันมีรถ
วันนั้นที่แป้งมาหาฉันที่บ้านตจว.นั้น
ตอนนั้นฉันขายตุ๊กตาอยู่ โดยนำตุ๊กตามาวางขายบนรถ
ฉันจอดรถขายอยู่ที่ตลาด แป้งบอกว่าจะนั่งวินมาเอง
ฉันก้บอกว่า หาฉันง่ายอยู่แล้ว เพราะมีรถตุ๊กตาจอดอยู่
ที่เรียกว่า รถตุ๊กตา เพราะมันมีตุ๊กตาวางเต็มรถไปหมดเลย
หนีบไว้ทั้งกระจกรถ ,ประตู,ท้ายรถ,บนหลังคา
แล้วเราก็เจอกันอีกเป็นครั้งที่ 2
แป้งมาในชุดนักศึกษา
นักศึกษาอ้วนผู้น่ารักของฉัน .. ฉันยิ้มอย่างดีใจเมื่อเจอแป้ง
รักแท้ในโลกออนไลน์
แป้ง .. คือคนที่ทำให้รู้ว่า ความรักที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์นั้นมีจริง
เราเจอกันทางอินเตอร์เน็ต เมื่อหลายปีมาแล้ว
ฉันไปทักแป้งก่อน ด้วยการจำชื่อล็อกอินผิด
นึกว่าแป้ง เป็นคนที่เคยคุยด้วย
"ใช่คุณ wizard ที่เคยคุยกันเมื่อวานหรือเปล่า"
แป้งทำหน้า งง ส่งมาให้ฉันผ่านจอคอมพิวเตอร์
หลังจากถามไปถามมา จนแน่ใจว่า ฉันต้องทักคนผิดแน่ๆแล้ว
ฉันกับแป้งกลับคุยกันถูกคอมากขึ้นไปอีก
แป้งเป็นคนตลกดี ไม่น่าเืชื่อว่า
แค่อ่านตัวอักษร ก็ทำให้ฉันขำและยิ้มได้
หลังจากนั้นเราก็คุยกันทุกวันทั้งทางเน็ตและโทรศัพท์
เวลาผ่านไปหลายเดือน วันหนึ่งแป้งก็พูดขึ้นว่า
เมื่อไหร่เราจะได้เจอกัน ก่อนหน้านี้เราได้แต่แลกรูปกัน
กว่าแป้งจะยอมให้รูปฉันดู ก็นานเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
แป้งบอกว่า แป้งอ้วนมาก ฉันก็บอกว่า มันไม่สำคัญหรอก
แป้งเอารูปที่ใส่ชุดนักศึกษาให้ฉันดู
มารู้ตอนหลังว่า แป้งไปหารูปที่มุมกล้องมองดูแล้วผอมที่สุดมาให้ดู
ถึงแป้งจะอ้วน แต่แป้งก็หน้าตาดี
และที่สำคัญนิสัยดี สนุกสนาน และจริงใจมาก
ฉันบอกแป้งว่า ครบ 6เดือนก่อนถึงจะนัดเจอกันได้
เวลา 6เดือนจะว่านานก็นาน จะว่าเร็วก็เร็ว
พอเวลาใกล้มาถึง ฉันซะอีกที่เป็นฝ่ายอายไม่กล้าไปพบหน้าแป้ง
ตอนนั้นแป้งเรียนอยู่มหาลัยเอกชนในกทม.
ส่วนฉันเพิ่งเรียบจบได้ไม่นาน และกลับมาอยู่บ้านที่ตจว.
เรานัดเจอกันที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว
เราเจอกันทางอินเตอร์เน็ต เมื่อหลายปีมาแล้ว
ฉันไปทักแป้งก่อน ด้วยการจำชื่อล็อกอินผิด
นึกว่าแป้ง เป็นคนที่เคยคุยด้วย
"ใช่คุณ wizard ที่เคยคุยกันเมื่อวานหรือเปล่า"
แป้งทำหน้า งง ส่งมาให้ฉันผ่านจอคอมพิวเตอร์
หลังจากถามไปถามมา จนแน่ใจว่า ฉันต้องทักคนผิดแน่ๆแล้ว
ฉันกับแป้งกลับคุยกันถูกคอมากขึ้นไปอีก
แป้งเป็นคนตลกดี ไม่น่าเืชื่อว่า
แค่อ่านตัวอักษร ก็ทำให้ฉันขำและยิ้มได้
หลังจากนั้นเราก็คุยกันทุกวันทั้งทางเน็ตและโทรศัพท์
เวลาผ่านไปหลายเดือน วันหนึ่งแป้งก็พูดขึ้นว่า
เมื่อไหร่เราจะได้เจอกัน ก่อนหน้านี้เราได้แต่แลกรูปกัน
กว่าแป้งจะยอมให้รูปฉันดู ก็นานเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
แป้งบอกว่า แป้งอ้วนมาก ฉันก็บอกว่า มันไม่สำคัญหรอก
แป้งเอารูปที่ใส่ชุดนักศึกษาให้ฉันดู
มารู้ตอนหลังว่า แป้งไปหารูปที่มุมกล้องมองดูแล้วผอมที่สุดมาให้ดู
ถึงแป้งจะอ้วน แต่แป้งก็หน้าตาดี
และที่สำคัญนิสัยดี สนุกสนาน และจริงใจมาก
ฉันบอกแป้งว่า ครบ 6เดือนก่อนถึงจะนัดเจอกันได้
เวลา 6เดือนจะว่านานก็นาน จะว่าเร็วก็เร็ว
พอเวลาใกล้มาถึง ฉันซะอีกที่เป็นฝ่ายอายไม่กล้าไปพบหน้าแป้ง
ตอนนั้นแป้งเรียนอยู่มหาลัยเอกชนในกทม.
ส่วนฉันเพิ่งเรียบจบได้ไม่นาน และกลับมาอยู่บ้านที่ตจว.
เรานัดเจอกันที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว
ยังรักเหมือนเดิม
หยุยเขียนมาบอกว่า
"ไม่อยากให้ใครๆเข้าใจผิด คิดว่าเราเป็นเลสเบี้ยนกัน
เพราะหยุยไม่ได้เป็นแบบนั้น และหยุยอยากใ้ช้ชีวิตประจำวัน
เหมือนคนทั่วๆไป ยกตัวอย่างเช่น ทำไมเราต้องออกมายืนคุยกันที่ระเบียงทุกคืน?
ทำไมเราต้องเขียนจดหมายคุยกัน ทั้งๆที่เราบ้านติดกันแค่นี้เอง
หยุยไม่อยากให้พ่อเข้าใจผิด เพราะหยุยไม่ได้เป็นแบบนั้น
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่เราคงเจอกันน้อยลง
และหยุยก็จะไม่เขียนจดหมายมาอีกแล้ว
แต่หยุยยังคงรักพี่นกเหมือนเดิม เหมือนแรกๆที่รู้จักกัน
หยุยทิ้งท้ายไว้ว่า "ยังคงรักฉันเหมือนเดิม"
หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
เราแทบไม่ได้เจอกัน ไม่ได้ไปไหนด้วยกันอีกเลย
ฉันเอาจดหมายที่หยุยเป็นคนเริ่มเขียนถึงฉันก่อน
และของฉันที่ตอบกันไปมา เกือบปึกใหญ่ นำไปคืนหยุย
ไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บมันไว้อีก
ในเมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว
หยุย .. ผุ้หญิงคนแรกที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
แต่ไม่ได้ผ่านมาแล้วผ่านไป
เกือบ 3ปีที่รู้จักกันมา ทิ้งไว้เป็นปริศนา กับประโยคที่ว่า "ยังคงรักฉันเหมือนเดิม"
"ไม่อยากให้ใครๆเข้าใจผิด คิดว่าเราเป็นเลสเบี้ยนกัน
เพราะหยุยไม่ได้เป็นแบบนั้น และหยุยอยากใ้ช้ชีวิตประจำวัน
เหมือนคนทั่วๆไป ยกตัวอย่างเช่น ทำไมเราต้องออกมายืนคุยกันที่ระเบียงทุกคืน?
ทำไมเราต้องเขียนจดหมายคุยกัน ทั้งๆที่เราบ้านติดกันแค่นี้เอง
หยุยไม่อยากให้พ่อเข้าใจผิด เพราะหยุยไม่ได้เป็นแบบนั้น
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่เราคงเจอกันน้อยลง
และหยุยก็จะไม่เขียนจดหมายมาอีกแล้ว
แต่หยุยยังคงรักพี่นกเหมือนเดิม เหมือนแรกๆที่รู้จักกัน
หยุยทิ้งท้ายไว้ว่า "ยังคงรักฉันเหมือนเดิม"
หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
เราแทบไม่ได้เจอกัน ไม่ได้ไปไหนด้วยกันอีกเลย
ฉันเอาจดหมายที่หยุยเป็นคนเริ่มเขียนถึงฉันก่อน
และของฉันที่ตอบกันไปมา เกือบปึกใหญ่ นำไปคืนหยุย
ไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บมันไว้อีก
ในเมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว
หยุย .. ผุ้หญิงคนแรกที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
แต่ไม่ได้ผ่านมาแล้วผ่านไป
เกือบ 3ปีที่รู้จักกันมา ทิ้งไว้เป็นปริศนา กับประโยคที่ว่า "ยังคงรักฉันเหมือนเดิม"
เพราะเธอไม่ใช่คนเดิม
ถึงเราจะนอนเตียงเดียวกัน
แต่ฉันกับหยุยก็ไม่ได้มีอะไรกัน
มากไปกว่า การนอนจับมือ และนอนกอดกันแค่นั้นเอง
ความสัมพันธ์ของเรา 2คน เป็นแบบไหนนั้น
ตัวฉันเองก็ไม่เคยถามว่าหยุยคิดกับฉันยังไง
ฉันรู้ แต่ความรู้สึกตัวเอง ว่าคิดกับหยุยเกินเพื่อน เกินน้อง
เรายังคงสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ
เห็นหยุย ก็ต้องเห็นฉัน
เราไปไหนด้วยกันตลอดเวลา
ไม่ว่าใครคนใดคนหนึึ่งจะออกจากบ้าน
ก็ต้องแวะมาเรียกอีกคนออกไปด้วย ทุกครั้งไป
เวลาฉันกลับบ้านที่ต่างจังหวัด
บางครั้งกะจะเซอร์ไพร์ที่บ้าน โดยการกลับไปแบบไม่บอกล่วงหน้า
แต่เมื่อฉันไปถึงบ้าน ดูเหมือนว่า ทุกคนจะรู้อยู่แล้ว
ว่าฉันจะกลับวัันนี้ เพราะอะไรนะเหรอ
ก็เพราะ หยุยของฉันนะซิ จะโทรมาเช็คกับที่บ้านฉันตลอด
ว่าฉันถึงบ้านหรือยัง
ทำเอาฉันหลงตัวเอง เข้าข้างตัวเอง ว่าหยุยคงมีใจให้ฉันบ้างอยู่เกือบ 3ปี
ตอนนั้นตั้งใจจะเรียนให้จบภายใน 3ปี
แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเกือบเรียนไม่จบ
ฉันสังเกตุได้ว่า จู่ๆหยุยก็เปลี่ยนไป
จากที่เคยมาเีรียกฉันไปไหนต่อไหนทุกวัน ก็ไม่มาเรียก
แต่กลับไปชวนน้องของฉันไปแทน
และปฏิเสธฉันทุกครั้ง ที่ฉันชวนหยุยไปไหนต่อไหน
หยุยหลบหน้าฉันบ่อยขึ้น เราแทบไม่เจอกันเลย
จนฉันทนไม่ไหว เขียนจดหมาย ไปถามว่าทำไมหยุยเปลี่ยนไปแบบนี้
ฉันเอาจดหมายไปยื่นให้หยุยที่บ้าน
หลังจากนั้น หยุยก็ตอบกลับมา
ฉันอ่านจดหมายของหยุยทั้งน้ำตา
ฉันอ่านมันอยู่หลายรอบ มันใช่ลายมือหยุย แต่มันไม่ใช่หยุยคนเดิมของฉันอีกต่อไปแล้ว
แต่ฉันกับหยุยก็ไม่ได้มีอะไรกัน
มากไปกว่า การนอนจับมือ และนอนกอดกันแค่นั้นเอง
ความสัมพันธ์ของเรา 2คน เป็นแบบไหนนั้น
ตัวฉันเองก็ไม่เคยถามว่าหยุยคิดกับฉันยังไง
ฉันรู้ แต่ความรู้สึกตัวเอง ว่าคิดกับหยุยเกินเพื่อน เกินน้อง
เรายังคงสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ
เห็นหยุย ก็ต้องเห็นฉัน
เราไปไหนด้วยกันตลอดเวลา
ไม่ว่าใครคนใดคนหนึึ่งจะออกจากบ้าน
ก็ต้องแวะมาเรียกอีกคนออกไปด้วย ทุกครั้งไป
เวลาฉันกลับบ้านที่ต่างจังหวัด
บางครั้งกะจะเซอร์ไพร์ที่บ้าน โดยการกลับไปแบบไม่บอกล่วงหน้า
แต่เมื่อฉันไปถึงบ้าน ดูเหมือนว่า ทุกคนจะรู้อยู่แล้ว
ว่าฉันจะกลับวัันนี้ เพราะอะไรนะเหรอ
ก็เพราะ หยุยของฉันนะซิ จะโทรมาเช็คกับที่บ้านฉันตลอด
ว่าฉันถึงบ้านหรือยัง
ทำเอาฉันหลงตัวเอง เข้าข้างตัวเอง ว่าหยุยคงมีใจให้ฉันบ้างอยู่เกือบ 3ปี
ตอนนั้นตั้งใจจะเรียนให้จบภายใน 3ปี
แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเกือบเรียนไม่จบ
ฉันสังเกตุได้ว่า จู่ๆหยุยก็เปลี่ยนไป
จากที่เคยมาเีรียกฉันไปไหนต่อไหนทุกวัน ก็ไม่มาเรียก
แต่กลับไปชวนน้องของฉันไปแทน
และปฏิเสธฉันทุกครั้ง ที่ฉันชวนหยุยไปไหนต่อไหน
หยุยหลบหน้าฉันบ่อยขึ้น เราแทบไม่เจอกันเลย
จนฉันทนไม่ไหว เขียนจดหมาย ไปถามว่าทำไมหยุยเปลี่ยนไปแบบนี้
ฉันเอาจดหมายไปยื่นให้หยุยที่บ้าน
หลังจากนั้น หยุยก็ตอบกลับมา
ฉันอ่านจดหมายของหยุยทั้งน้ำตา
ฉันอ่านมันอยู่หลายรอบ มันใช่ลายมือหยุย แต่มันไม่ใช่หยุยคนเดิมของฉันอีกต่อไปแล้ว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)